นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น(UNIQ) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า บริษัทจะพิจารณาแผนการเพิ่มทุนก็ต่อเมื่อสามารถชนะประมูลงานขนาดใหญ่ อย่าง งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแคและบางซื่อ-ท่าพระ ได้เสียก่อน และการเพิ่มทุนจะต้องทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ของบริษัทอยู่ในระดับไม่เกิน 3 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 2 เท่า
นายนที กล่าวว่า ขณะนี้ร่างเงื่อนไขการประมูล(TOR)งานโครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงินออกมาแล้ว ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าบริษัทจะเข้าประมูลเอง หรือจะร่วมกับผู้รับเหมารายอื่น
"รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมี 5 ตอน เราหวังว่าจะเข้าร่วมประมูลและได้งาน แต่ยังศึกษา TOR อยู่ว่าจะประมูลตอนไหนและต้องมีผู้ร่วมประมูลหรือไม่ ซึ่งหากได้งานบริษัทจึงจะพิจารณาเพิ่มทุนอีกครั้ง โดยหลังเพิ่มทุน D/E ต้องไม่เกิน 3%"นายนที กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ นายนที คาดว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตจากปี 52 ที่มีรายได้เกือบ 3 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทยอยรับรู้รายได้จากงานคงค้างในมือ(Blacklog) ที่ขณะนี้มีมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้จะรับรู้ประมาณ 30% ซึ่งจะทยอยรับรู้ฯทั้งหหมดภายใน 3 ปี
บริษัทคาดว่างานใหม่ที่จะเข้าประมูลปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะได้งานเท่าไรยังไม่สามารถประเมินได้ แต่มีความหวังว่าจะมีงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทพยายามเลือกรับงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 5 % แม้ว่าจะรับงานภาครัฐบาลทั้ง 100% เนื่องจากงานภาครัฐมีความเสี่ยงต่ำในแง่ของเงินค่าจ้าง แต่ยอมรับว่าอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่างานภาคเอกชน
"บริษัทเน้นรับงานภาครัฐ 100% เพราะเรียกเก็บเงินได้งานกว่างานภาคเอกชนแต่ยอมรับว่ามาร์จิ้นน้อยกว่า ซึ่งเราก็เลือกงานที่มาร์จิ้นไม่น้อยว่า 5%"นายนที กล่าว
นายนที กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเชื่อว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนมีปัจจัยบวกที่ดีกว่าปี 52 ทั้งแง่ของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้ง งบประมาณไทยเข้มแข็งที่จะออกมา โดยเป็นโครงการเมกะโปรเจ็คต์ขนาดใหญ่จำนวนมากจะส่งผลดีต่อบริษัทโดยตรง เพราะเชื่อว่าจะมีงานประมูลออกมามาก แต่อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ปรับตัวเพิมขึ้น โดยราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนผลประกอบการปี 52 บริษัทมั่นใจว่าจะมีการจ่ายปันผล โดยจะจ่ายตามนโยบายไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทราวเดือนเม.ย.พิจารณาอนุมัติ ก่อนหน้านี้ในปี 51 บริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 0.08 บาท/หุ้น หากปี 52 กำไรมากกว่าก็จะสามารถจ่ายปันผลได้ดีกว่าปีก่อน