นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น(ASCON)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีความพร้อมในการเข้าประมูลงานรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง รวมทั้งการรับงานก่อสร้างของภาครัฐที่จะเปิดประมูลในปีนี้ โดยบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับงานภาครัฐเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่ามีการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนของรัฐเข้ามาอย่างเต็มที่ ขณะที่งานภาคเอกชนยังมีน้อยลงมาก
"บริษัทก็มีความพร้อมที่จะเข้าประมูลรถไฟฟ้าทุกสาย นอกเหนือรถไฟฟ้าสีม่วง หากมีการเปิดประมูล ขณะเดียวกันบริษัทยังมีงานที่จะเข้าไปประมูลเพิ่มอีกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานภาครัฐ และการรับงานภาครัฐถือเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญในปี 2553 จากการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นในภาคก่อสร้าง"นายพัฒนพงษ์ กล่าว
บริษัทเพิ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เดินหน้าแผนเพิ่มทุน 33 ล้านหุ้น โดยขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 30 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคา 3 บาท/หุ้น และจัดสรร 2.999 ล้านหุ้นรองรับวอร์แรนต์ ซึ่งบริษัทระดมเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจในอนาคต และรองรับการเข้ารับงานภาครัฐที่มีมูลค่าสูง
อย่างไรก็ตาม จากเม็ดเงินการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง ทำให้บริษัทหันมารับงานภาครัฐมากขึ้น เพราะมูลค่าโครงการประมูลจากภาครัฐน่าจะจำนวนมากว่า 1 หมื่นล้านบาท หากสามารถได้งาน 10-20% ของวงเงิน ก็เป็นระดับที่น่าพอใจแล้ว ขณะเดียวกันการรับงานภาครัฐยังลดความเสี่ยงจากความผันผวนราคาวัสดุก่อสร้าง เพราะธนาคารพาณิชย์จะปล่อยวงเงินกู้ให้เต็มจำนวน ซึ่งแตกต่างกับการปล่อยวงเงินให้กับการรับงานโครงการภาคเอกชนที่ได้ไม่เต็มที่
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASCON กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าการหันมาให้ความสำคัญในการรับงานภาครัฐ จะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากงานภาครัฐในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90% จาก 80% ในปี 52 ขณะที่สัดส่วนงานเอกชนเหลือ 10% จาก 20% ในปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับงานเอกชนที่ตอนนี้มีน้อยลงหลังจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุนใหม่
ส่วนการรับงานต่างประเทศก็คงชะลอไปก่อน เพราะจะให้ความสำคัญงานในประเทศที่มีปริมาณงานมากก่อน
*ตั้งเป้ารายได้ปี 53 โตกว่า 30% และพลิกมีกำไร
นายพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทเชื่อว่าจะสามารถพลิกมามีกำไรสุทธิ จากปี 52 อาจจะยังเห็นการขาดทุนอยู่ แม้จะเป็นการขาดทุนลดลง ขณะที่รายได้ก็จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ในปีนี้จากการประเมินพบว่าทุกอย่างคลี่คลายในทิศทางที่ดีทั้งเศรษฐกิจและการเมือง งานก็เริ่มกลับมาสู่สภาวะปกติ รวมทั้งคาดว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างคงจะไม่ผันผวนอย่างที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 53 มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 52 ที่อาจจะไม่สามารถทำได้ตามที่ประเมินไว้ที่ 2 พันล้านบาท
"ผมว่าในปี 53 ทุกอย่างน่าจะสดใสเพราะเท่าที่ผมเห็นงานตอนนี้ก็เริ่มเข้ามาปกติแล้ว ผลร้ายสะท้อนไปหมดแล้วทั้งเศรษฐกิจ ดูไบเวิลด์ รวมทั้งราคาวัสดุที่แพงมากในช่วงที่ผ่านมาอย่างราคาเหล็กพุ่งไปถึง 40 บาท ใครบ้างที่ไม่เหนื่อย"นายพัฒนพงษ์กล่าว
หากสถานการณ์รอบด้านเป็นไปตามที่คาดการณ์ การไปถึงเป้าหมายก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ(backlog)ราว 3-4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 53 โดยส่วนใหญ่หรือประมาณ 2 พันล้านบาท โดยเป็นงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 ที่อยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญา และงานโครงการก่อสร้างด้านสาธารณสุข