หลักเกณฑ์สำคัญที่จะปรับปรุงได้แก่ 1) ประเภทหลักทรัพย์และทรัพย์สินที่กองทุนสามารถลงทุนได้ จะกำหนดให้มีลักษณะเป็น principle-based มากขึ้น โดยกำหนดด้วยลักษณะของหลักทรัพย์และทรัพย์สิน เช่น มีสภาพคล่องสอดคล้องกับการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุน มีข้อมูลหลักทรัพย์และราคาที่สะท้อนมูลค่ายุติธรรมอย่างเหมาะสมและน่าเชื่อถือ
2) การลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศ หากเป็นหน่วยลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและเสนอขายตามหลักเกณฑ์ของ Undertakings for Collective Investment in Transferable Securities (UCITS) ซึ่งกำหนดโดย European Economic Committee (EEC) ให้ถือว่ามีการให้ความคุ้มครองประโยชน์ของผู้ลงทุนที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนดแล้ว
3)อัตราส่วนการลงทุน ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้การลงทุนมีการกระจายการลงทุนมากขึ้นและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยยกเลิกเกณฑ์การอนุญาตกองทุนที่ลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (specific fund) และกรณีกองทุนทั่วไปกำหนดให้ลงทุนในตราสารของผู้ออกรายใดรายหนึ่ง company limit ได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) โดยอาจขยายการลงทุนในผู้ออกรายใดรายหนึ่งเพิ่มได้แต่ต้องไม่เกิน 20% ของ NAV และเมื่อนับรวมกรณีที่มีการลงทุนเกิน 10% ของ NAV เข้าด้วยกันแล้ว ต้องไม่เกิน 60% ของ NAV
4) การจัดประเภทกองทุนจะต้องเป็นไปตามฐานะความเสี่ยงที่กองทุนมี (risk exposure) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี แทนการกำหนดตามมูลค่าการลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะสะท้อนความเสี่ยงในการลงทุนของกองทุนได้ดียิ่งขึ้น
5) การจัดตั้งกองทุนรวมหน่วยลงทุน (fund of funds: FOFs) จะกำหนดให้ต้องมีฐานะความเสี่ยงในหน่วยลงทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% จากเดิมไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) โดยแบ่งกองทุน FOFs เป็น 2 ประเภท คือ กองทุนหน่วยลงทุนแบบกระจายตัว (diversified FOFs) และกองทุนหน่วยลงทุนแบบไม่กระจายตัว (non-diversified FOFs) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้ลงทุน
6) ในการพิจารณาว่าทรัพย์สินที่กองทุนที่ไปลงทุนเป็นทรัพย์สินต่างประเทศหรือไม่ จะพิจารณาจาก risk exposure ของการลงทุน เช่น ทรัพย์สินที่ไปลงทุนมีความเสี่ยงของประเทศที่ไปลงทุน ความเสี่ยงด้านผู้ออกตราสารหรือคู่สัญญาหรือความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่งในต่างประเทศ ให้ถือว่าเป็นการลงทุนในต่างประเทศ
7) กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีนโยบายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบถี่ จะต้องมีการบริหารจัดการความสี่ยงที่รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความคาดหวังของผู้ลงทุน เช่น กำหนดคุณภาพของตราสาร กำหนดอัตราส่วนให้มีการกระจายตัว กำหนดข้อจำกัดในการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงและในทรัพย์สินต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้งจะกำหนดให้การลงทุนในต่างประเทศต้องป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนตลอดระยะเวลาลงทุนด้วย