ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากอัลโค อิงค์ บริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และข่าวที่ว่าธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อควบคุมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงิน เพื่อชดเชยยอดสูญเสียจากโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์รูดลง 36.73 จุด หรือ 0.34% ปิดที่ 10,627.26 จุด ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 10.76 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 1,136.22 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 30.10 จุด หรือ 1.30% ปิดที่ 2,282.31 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.10 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.40 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงหลังจากบริษัท อัลโค อิงค์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาด และบริษัท เชฟรอน คอร์ป ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการรายไตรมาส
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่าธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคมปีนี้ นับเป็นการปรับเพิ่มครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองเงินฝากในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคลายความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนที่มีอัตราขยายตัวเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากหวั่นเกรงว่าการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงเกินไปจะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์
หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงิน เพื่อชดเชยยอดสูญเสียจากโครงการ TARP ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณปี 2554
ทั้งนี้ หุ้นอัลโคปิดร่วง 11.1% ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดในบรรดาหุ้นรายใหญ่ที่คำนวณในดัชนีดาวโจนส์ ขณะที่หุ้นอิเล็กทรอนิก อาร์ทส์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายวีดิโอเกม ดิ่งลง 7.8% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายจะไม่กระเตื้องขึ้นในไตรมาสนี้
หุ้นเชฟรอนปิดลบ 0.6% หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ปิดร่วง 3% ส่วนหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดลบ 3.4% หลังจากมีรายงานว่าหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐได้ยื่นฟ้องเอาผิดตามกฎหมายต่อแบงค์ ออฟ อเมริกา ในกรณีที่ธนาคารจงใจไม่เปิดเผยข้อมูลในเรื่องการขาดทุนครั้งใหญ่ของเมอร์ริล ลินช์ ก่อนที่กลุ่มผู้ถือหุ้นจะโหวตเพื่อควบรวมกิจการในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินในเดือนก.ย.ปี 2551
หุ้นอินเทลปิดลบ 1.6% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดร่วง 2.3% โดยอินเทลจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี และเจพีมอร์แกนจะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์
นักลงทุนจับตาดูรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางประจำเดือนธ.ค., ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book
วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. และเฟดจะเปิดเผยตัวเลขการผลิตทางอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนธ.ค.