"บัณฑูร"มองปี 53 ศก.ไทยยังฟื้นไม่เต็มที่ เน้นปล่อยสินเชื่อคุณภาพ คุม NPL

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 13, 2010 09:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 53 มองว่าศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวในอัตรา 3-3.5% แต่เป็นการฟื้นตัวยังไม่เต็มที่ ดังนั้น การปล่อยสินเชื่อน่าจะตื่นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงคาดว่าการปล่อยสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์จะขยายตัว 6-7% ขณะที่ธนาคารวางเป้าหมายขยายสินเชื่อ 7-9%

"ปี 53 เป้าสินเชื่อที่วางไว้ 7-9% ไม่ง่าย หากไม่มีระบบควบคุมคุณภาพความเสี่ยง เน้นปล่อยสินเชื่อแบบมีคุณภาพ เพราะเศรษฐกิจกำลังกระเตื้องในระดับหนึ่ง" นายบัณฑูร กล่าว

ทั้งนี้ การเติบโตของธนาคารจะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มีการลงทุน การดำเนินธุรกิจต่างๆ ได้ต่อเนื่อง ซึ่งในภาคสถาบันการเงิน ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เป็นแหล่งของเงินออม เพื่อนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อการลงทุนอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ซึ่งหากมีการหมุนเวียนของเงินเร็ว อาจเกิดปัญหาฟองสบู่ได้ แต่หากเงินหมุนช้า อาจทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัว

อย่างไรก็ตาม มองว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีการแข่งขันต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องมีการแข่งขันโดยตลอด ซึ่งทุกฝ่ายมีโจทย์ที่ต้องปรับปรุงตัวเอง คิดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้า และไม่ให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งผู้ที่หยุดนิ่งจะเท่ากับถอยหลัง

ดังนั้นในส่วนของธนาคารได้วางกลยุทธ์การทำงานในเครือธนาคาร เพื่อเป็นธุรกิจไร้ขีดจำกัด ทำให้ลูกค้าของธนาคารเติบโตอย่างก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าบรรษัท และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ธนาคารจะทำให้ลูกค้าบุคคลสะดวก สบาย สมบูรณ์ เป็นชีวิตเอกเขนก โดยเน้นกลุ่มลูกค้าบุคคลพิเศษ กลุ่มลูกค้าบุคคลระดับกลาง และลูกค้าบุคคลทั่วไป

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBANK กล่าวอีกว่า ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นกว่าปี 52 หากสถานการณ์ภายใต้ประเทศ มีความสงบ จะช่วยเอื้อต่อการลงทุน การท่องเที่ยว เพราะปัญหาการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้ทุกอย่างสะดุด ขณะนี้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานของทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน การท่องเที่ยว

ทั้งนี้มองว่าปัญหาการเมืองไม่ได้แก้ไขโดยนักการเมือง แต่ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เกิดจากการมีกฎเกณฑ์กติกาที่ไม่ชัดเจน การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เด็ดขาด และการวางพื้นฐานทางการศึกษา การคมนาคมขนส่ง ที่ล่าช้า

ส่วนกรณีปัญหามาบตาพุด เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ และการดูแลสุขภาพของประชาชน การดูแลสิ่งแวดล้อม ที่ต้องหาทางออกควบคู่กัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ต้องใช้เวลา เพราะต้องมีขั้นตอนดำเนินการ

"เรื่องนี้ไม่มีขาวหรือดำ มีแต่สีเทา มีแต่ช้ามาก หรือช้าน้อย หากช้ามากก็มองว่าไม่เอื้อการลงทุน แต่การแก้ปัญหานี้มีมุมมองหลายด้าน ก็มีครรลองของการแก้ปัญหา ต้องไม่รบราฆ่าฟันกัน...ทุกคนก็ขู่จะถอนการลงทุน เพราะกระตุ้นให้ภาครัฐทำงาน ตอนนี้เขาก็ทำอยู่ ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ได้เสร็จทันที ต้องใช้เวลา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBANK กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ