นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท.(PTT) กล่าวถึงแผนการในการควบรวมกิจการบริษัทในเครือว่า ในขั้นต้นบริษัทมีแผนควบรวมกิจการบริษัทที่มีโรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันคือ จ.ระยอง ก่อนที่จะพิจารณาบริษัทที่อยู่นอกพื้นที่ โดยคาดว่าจะสรุปผลบริษัทจะควบรวมกันมีความชัดเจนในเดือนมี.ค. 53 และแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบและประชุมผู้ถือหุ้นทราบต่อไป
สำหรับบริษัทในเครือที่มีกิจการในพื้นที่ จ.ระยอง ได้แก่ บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH), บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) และ บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) ส่วนโรงกลั่นน้ำมันของบมจ.ไทยออยล์ (TOP) ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี
"ตอนนี้ที่ชลบุรียังไม่ยุ่ง เอา 2-3 บริษัทที่ระยองก่อนมารวมใน Step แรก โดยจะมีความชัดเจน มี.ค. นี้ ว่ารวม 3 หรือ 2 ก่อน"นายประเสริฐ กล่าว
ทั้งนี้ ปตท.คาดว่าการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 55 โดยในปีนี้น่าจะมีการควบรวมได้อย่างน้อย 2 รายก่อน และมีความคืบหน้ามากขึ้นในปีหน้า และปีถัดไปก็น่าจะแล้วเสร็จ เรื่องนี้ต้องใช้ระยะเวลานาน เพราะการควบรวมกิจการ 3-4 บริษัทในประเทศยังไม่เคยเกิดขึ้น
"เป้าหมายสุดท้ายรวม 4 บริษัทเข้าด้วยกันก็น่าจะดี แต่จะรวม 2 บริษัทก่อน แล้วค่อยมาเป็น 3 และ 4 บริษัทเป็นอันสุดท้าย ปีนี้คงไม่มีทางจบ"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ผลกระทบจากปัญหาการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด ทำให้โครงการต่างๆ ของบริษัทกระทบล่าช้าออกไป 6 เดือนถึง 1 ปี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลได้มีการเร่งออกกฎเกณฑ์และกำหนดแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 67 แล้ว น่าจะช่วยให้โครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปได้
จากปัญหามาบตาพุดที่ทำให้ 18 โครงการของบริษัทในกลุ่ม PTT หยุดชะงักไป ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์แล้ว 6 โครงการ และเตรียมจะยื่นอีก 3 โครงกรภายในเดือน ม.ค.นี้ ส่วนที่เหลือ 9 โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดว่าจะได้รับข้อยกเว้นหรือไม่
ทั้งนี้ คำสั่งศาลปกครองให้ระงับโครงการลงทุนของ ปตท.จำนวน 25 โครงการ
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 52 คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 51 และมีแนวโน้มที่บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงขึ้นกว่าปี 51 ตามผลประกอบการ และคาดว่าปี 53 จะมีกำไรดีกว่าปีก่อน ตามราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ว่า ขณะนี้ค่าการตลาดขยับขึ้นมาที่ 1 บาท/ลิตร หลังจากที่ราคาปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีการพิจารณาปรับลดราคาขายปลีก ต้องรอดูสถานการณ์และรอให้ค่าการตลาดขยับขึ้นไปที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตรก่อน