บล.กสิกรไทย(KS) ยันไม่สนแข่งราคาค่าคอมพ์ 0% มองควรแข่งกันที่คุณภาพบทวิเคราะห์และการให้บริการลูกค้ามากกว่า ชี้หากยังแข่งกันที่ราคาโบรกเกอร์เล็กอยู่ยาก กระแสการควบรวมจะตามมาในอนาคต พร้อมเผยต้นปีนี้วอลุ่มเทรดไม่ลด เฉลี่ยเทรด 900 ล้านบาท/วันสูง กว่าปีก่อนที่วอลุ่มเทรดเฉลี่ย 850 ล้านบาท/วัน
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล KS เปิดเผยว่า จากกรณีการเปิดใช้เสรีค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได(Sliding Scale)มาตั้งแต่ต้นปีทำให้โบรกเกอร์ ฯ หลายแห่งเริ่มขยับตัวและประกาศสงครามค่าคอมม์ที่ 0% นั้น สำหรับ KS ยืนยันไม่มีนโยบายการแข่งขันค่าคอมม์ 0% และย้ำจุดยืนตามประกาศของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ในการใช้อัตราค่าคอมฯที่ 0.15% สำหรับมูลค่าการซื้อขายที่เกิน 20 ล้านบาท/วันเช่นเดิม
ทั้งนี้อัตราค่าคอมฯ แบบขั้นบันไดกำหนดให้มูลค่าการซื้อขายไม่เกิน 5 ล้านบาท/วัน คิดอัตราค่าคอมฯ ไม่ต่ำกว่า 0.25-1.00% ,มูลค่าการซื้อขายเกิน 5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท คิดอัตราค่าคอมม์ไม่ต่ำกว่า 0.22-1.00%, มูลค่าการซื้อขายต่อวันเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 20 ล้านบาท คิดอัตราค่าคอมฯ ไม่ต่ำกว่า 0.18-1.00% และ ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทเป็นอัตราที่ตกลงกันแต่ไม่เกินกว่า 1%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าจะพัฒนาธุรกิจทั้งในแง่การบริการลูกค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพ โดยเฉพาะด้านบทวิเคราะห์ที่มีทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทและของศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยพบว่ามีลูกค้าได้รับการเสนอค่าคอมม์ 0% จากโบรกเกอร์อื่นบ้าง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ และยังคงมีวอลุ่มเทรดปกติไม่ได้ย้ายพอร์ตไปเทรดโบรกเกอร์อื่นแต่อย่างใด
ปัจจุบัน KS มีวอลุ่มเฉลี่ยวันละ 900 ล้านบาท จากในปี 52 ที่อยู่ประมาณ 850 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯได้ลองทำการสำรวจฐานลูกค้าปัจจุบัน ถึงอัตราค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดที่ประกาศออกไป โดยพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่พึงพอใจกับอัตราดังกล่าว และให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการมากกว่า รวมถึงความเป็นเครือธนาคารกสิกรไทย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯเป็นลูกค้าของธนาคารอยู่ด้วย จึงมีความผูกพันธ์และรู้สึกมั่นคงในการเลือกใช้บริการ
“การลงไปเล่นราคาค่าคอมมิชชั่น 0% อาจจะช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในระยะสั้น แต่ไม่ได้ช่วยในการพัฒนาตลาดทุนไทย กลับจะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น วิธีการนี้เป็นแต่เพียงการพยายามดึงลูกค้าไม่ให้หนีไปไหนของบรรดาโบรกฯที่โดดลงมาเล่นเรื่องของราคา
และถ้ามีการเล่นเกม 0% กันมากเข้า ๆ เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่โบรกเกอร์ไม่สามารถแข่งขันได้ เนื่องจากรายได้และกำไรลดลง และจะเริ่มเห็นการควบรวมกันเองเกิดขึ้น ซึ่งโบรกฯที่มีพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศ โบรกฯที่เป็นลูกแบงค์ รวมถึงโบรกฯขนาดใหญ่จะได้เปรียบ และธุรกิจหลักทรัพย์ควรขายกันที่บริการ และคุณภาพของข้อมูลบทวิเคราะห์และบุคคลากร เป็นหลัก ไม่ได้เป็นธุรกิจที่เล่นกันด้วยราคา ทั้งนี้ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ การสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทมี ROE ถึง 28 % สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพในการบริหารงานของบริษัทอันเกิดจากการมุ่งเน้นที่คุณภาพของการให้บริการ" นายเผดิมภพ กล่าว