TUF คาดปี 53 กำไรทำนิวไฮอีกต่อจากปี 52, ยอดขายรูปดอลลาร์โต 12-15%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 14, 2010 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์(TUF) ตั้งเป้ายอดขายในรูปเงินดอลลาร์ในปี 53 เติบโต 12-15% จากปีก่อน และกำไรจะทำนิวไฮได้อีกครั้งหลังจากที่ในปี 52 ทำนิวไฮไปแล้ว และจะสร้างฐานกำไรในจุดใหม่จากที่เคยอยู่ในระดับ 2 พันล้านบาทเศษ

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของกำไรนั้น นอกจากจะเป็นผลของยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นผลสำเร็จของการปรับลดต้นทุนประกอบการลงด้วย โดยเฉพาะการปิดโรงงานที่ประเทศซามัวร์และเปิดโรงงานในจอร์เจียแทน ซึ่งใช้คนงานน้อยกว่า รวมทั้งมีการควบรวมบริษัทในเครือที่จะเสร็จสิ้นในครึ่งแรกของปีนี้

ส่วนผลดำเนินงานในปี 52 น่าจะทำได้ตามที่โบรกเกอร์ประเมินว่าจะเป็นนิวไฮ เพราะแค่ 9 เดือนแรกของปีก็ทำกำไรไปได้แล้ว 2.6 พันล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่ายในอัตรา 0.88 บาท/หุ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจโลกเติบโตเพิ่มขึ้นแม้ว่าไม่มาก แต่การส่งออกอาหารแช่แข็งเติบโตต่อเนื่องจากปี 52 โดยคาดว่ายอดขายของ TUF ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐจะเติบโต 12-13% และกำไรสุทธิเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ขณะที่ผลประกอบการปี 52 ถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยงวด 9 เดือนบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 2.6 พันล้านบาท และไตรมาส 4/52 ผลประกอบการยังดีต่อเนื่อง ขณะที่ปี 51 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.2 พันล้านบาท

"ปี 52 ผลดำเนินงานดีมากถึงแม้หักค่าใช้จ่ายการปิดโรงงานในซามัวร์ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กำไรยังโตอยู่ และปี 53 กำไรยังดีกว่าปี 52 ที่ทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ โดยปี 52-53 เป็นการสร้างฐานกำไรใหม่ จากที่เคยทำได้ในระดับกว่า 2 พันล้านบาท คงทำนิวไฮใหม่อีกในปี 53 มั่นใจว่ายังโตทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งทูน่า กุ้ง อาหารแมว อาหารทะเลแช่แข็ง และเน้นขยายตลาดส่งออกไปยุโรป รัสเซีย"นายธีรพงศ์ กล่าว

บริษัทเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งยุโรปและรัสเซียเกิน 20% จากปี 52 ที่อยู่ในระดับ 11% นอกจากนี้ ยังมีตลาดอื่นๆเข้ามาเสริมทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ นอกจากนั้น บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการเปิดโรงงานในจอร์เจีย หลังปิดโรงงานในซามัวร์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลง เพราะพนักงานในโรงงานแห่งใหม่มีจำนวน 200 คน จากเดิมที่ซามัวร์ใช้พนักงานกว่า 2 พันคน และในปี 53 ก็จะรับประโยชน์เต็มที่จากโรงงานในจอร์เจีย

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทไม่มีความกังวลในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในปี 52 ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีการบริหารจัดการได้ดีมาก ทำให้ค่าเงินไม่ผันผวน ซึ่งบริษัทยังเน้นบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างใกล้ชิดด้วย และเชื่อว่าในปีนี้ธปท.ก็ยังคงจะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีเช่นเดียวกับปีก่อน

สำหรับแผนการควบรวมบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริการะหว่าง “ชิกเก้นออฟเดอะซีโฟรเซ่นฟู้ดส์" และบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด คาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งปีแรกปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ