นส.ศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา กรรมการ และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค(PF)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถออกหุ้นกู้วงเงิน 1.5 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 1/53 เพื่อนำเงินไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน และนำไปซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินไว้ประมาณ 2.5 พันล้านบาท
ส่วนการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองทุน คาดว่าน่าจะได้เห็นในช่วงครึ่งหลังปี 53
นส.ศิริรัตน์ กล่าวถึงแผนงานในปี 53 ว่า บริษัทจะเน้นสินค้าที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 50% ทั้งโครงการประเภทคอนโดมีเนียมและแนวราบ โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ของบริษัท แอสเซท เพอร์เฟค ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ PF ถือหุ้น 100% เนื่องจากพบว่าความต้องการของตลาดปรับตัวดีขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินก็ปรับสูงขึ้น 10-30% เมื่อเทียบกับปี 51 โดยเฉพาะที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการปรับลดขนาดโครงการทาวน์เฮ้าวส์ภายใต้แอสเซท เพอร์เฟค ให้เล็กลงเหลือประมาณ 500 ล้านบาทต่อโครงการ หรือประมาณหลังละกว่า 2 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะมีมูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท เพื่อเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าที่มากขึ้นและยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทมากขึ้นด้วย
นส.ศิริรัตน์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่รวมบริษัทในเครือปีนี้ 11-12 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการคอนโดมีเนียม 3-4 โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ โดยส่วนใหญ่ระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท และที่เหลือเป็นแนวราบ
"เราเห็น trend ลูกค้าว่าส่วนใหญ่ยังต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งการที่เรารุกไปที่ระดับดังกล่าวน่าจะดีกับเรา เพราะโครงการที่มีอยู่ก็ต่ำกว่า 3 ล้านบาทเยอะเหมือนกัน เรายังเพิ่มในโครงการใหม่ในปี 53 อีก ซึ่งถือเป็นการเปิดค่อนข้างมากทีเดียว และก็น่าจะเห็น brand คอนโดฯ ใหม่ในปี 53 ด้วย"นส.ศิริรัตน์ กล่าว
นส.ศิริรัตน์ กล่าวว่า จากการที่บริษัทหันมาเน้นการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมีเนียมมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปี 54-55 โดยจะทยอยเพิ่มตั้งแต่ปี 52-53 ที่มีสัดส่วน 20% ขณะทีอีก 60% จะมาจากโครงการแนวราบ เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างค่อนข้างนาน จึงเป็นการทยอยรับรู้รายได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าในปี 53 จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 50% จากปี 52 ที่น่าจะมียอดรับรู้รายได้ต่ำกว่าที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ 6.5 พันล้านบาทเล็กน้อย โดยรายได้ในปีนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นการรับรู้ฯ จากยอดขายรอโอน(backlog)ประมาณ 1.6 พันล้านบาท จากมีในมือแล้วกว่า 2 พันล้านบาท ประกอบกับ มีการรับรู้ฯ จากโครงการที่เปิดตัวไปแล้วที่จะทำยอดขายเพิ่มเข้ามา และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ด้วย