ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าผลประกอบการของบริษัทสหรัฐจะออกมาแข็งแกร่ง โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงินก่อนที่บริษัท อินเทล คอร์ป และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค จะเปิดเผยผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม ตลาดปิดบวกไม่มากนักเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงยอดค้าปลีกและตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 29.78 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 10,710.55 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 2.78 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 1,148.46 จุด และดัชนี Nasdaq บวก 8.84 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 2,316.74 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 890 ล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.29 พันล้านหุ้น
นักวิเคราะห์จากบริษัทฮาร์เดสตี้ แคปิตอล เมเนจเมนท์ ในเมืองบัลติมอร์ก กล่าวว่า ตลาดได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่ว่าบริษัทสหรัฐจะรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง รวมถึงอินเทลและเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเจพีมอร์แกนอาจมีกำไรราว 2.57 พันล้านดอลลาร์ หรือ 60 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2552 เทียบกับระดับ 702 ล้านดอลลาร์ หรือ 7 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2551
ขณะที่อินเทลเปิดเผยหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 ปรับตัวขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
มุมมองในด้านบวกที่มีต่อผลประกอบการของเจพีมอร์แกน ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นถ้วนหน้า ขณะเดียวกันนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก่อนที่อินเทลจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ แต่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคร่วงลง หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกดิ่งลง
หุ้นออราเคิลพุ่งขึ้น 2.5% หุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 2% ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดบวก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 11,000 คน มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ราว 3,000 คน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทค้าปลีก ภาคการผลิต และบริษัทก่อสร้าง เลย์ออฟพนักงาน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกประจำเดือนธ.ค.ร่วงลง 0.3% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%
นักลงทุนจับตาดูรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันศุกร์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยตัวเลขการผลิตทางอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนธ.ค.