ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ใหม่ TCAP ที่ "A"แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 15, 2010 13:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบมจ.ทุนธนชาต(TCAP)ที่ระดับ“A"พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนฐานะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งลงทุนในกลุ่มธนชาต ตลอดจนอำนาจการบริหารงานในธนาคารธนชาตผ่านการถือหุ้น 50.92% และผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอจากธนาคารธนชาต ในการให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ เครือข่ายสาขาและการกระจายตัวทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ระบบการบริหารความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงการสนับสนุนทางด้านธุรกิจและเงินทุนจากพันธมิตร คือ Bank of Nova Scotia (BNS)

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวยังมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และความไม่แน่นอนของธุรกิจการธนาคาร เช่าซื้อ และหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจำกัดความสามารถในการทำกำไรและโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจของกลุ่มในอนาคต ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถชนะประมูลการซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) เพื่อขยายธุรกิจได้ก็จะเป็นพัฒนาการที่สำคัญของบริษัทในอนาคตอันใกล้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายที่บริษัทจะมีรายได้จากเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากธนาคาร ธนชาต ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของบริษัท นอกจากนี้ การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในด้านการเงินและความรู้ในการประกอบธุรกิจจากพันธมิตรธุรกิจซึ่งได้แก่ BNS และบริษัทจะช่วยส่งเสริมศักยภาพในการดำเนินงานโดยรวมให้แก่ธนาคาร

ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นในอนาคต การเติบโตในอนาคตทั้งจากการขยายธุรกิจตามปกติ หรือการซื้อกิจการ หรือการร่วมทุนระหว่างบริษัทกับ BNS นั้นมีความเป็นไปได้ ในขณะที่การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนในอนาคต

ณ เดือนกันยายน 2552 เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการของกลุ่มธนชาตและรายได้จากการดำเนินธุรกิจปกติ (ที่ไม่รวมรายได้พิเศษจากการขายหุ้นของธนาคารธนชาตให้แก่ BNS) บริษัททุนธนชาตมีรายได้รวมจำนวน 25,763 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 42% จากจำนวน 18,098 ล้านบาท ณ เมื่อเดือนกันยายน 2551

บริษัทมีรายได้จากธนาคารธนชาตในสัดส่วนสูงถึง 57.4% ของรายได้รวมจากธนาคารส่วนอีก 37.7% มาจากธุรกิจประกันภัย และที่เหลือมาจากธุรกิจหลักของบริษัทและบริษัทบริหารสินทรัพย์ 2 แห่ง คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส จำกัด รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจจัดการกองทุนคิดเป็นสัดส่วน 2.8% ของรายได้รวมของบริษัท

เมื่อพิจารณาจากขนาดของสินทรัพย์ตามงบการเงินรวม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 แล้ว บริษัทจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้ง 12 แห่งของไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินเชื่อและเงินฝากที่ 4.9% บริษัทได้พัฒนาคณะผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจนสามารถสนับสนุนให้บริษัทลูกมีความสามารถในการแข่งขันเป็นอย่างดี

อีกทั้งยังทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ ระบบบริหารความเสี่ยงของบริษัทและบริษัทในกลุ่มได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม คาดว่าความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจธนาคารจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจและทำกำไรของทั้งธนาคารธนชาตและบริษัทในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน ธนาคารธนชาตดำเนินธุรกิจภายใต้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ในเดือนกรกฎาคม 2550 บริษัทได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ BNS เพื่อลงทุนในธนาคารธนชาต มีผลทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารเปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารธนชาตลดลงจาก 99.36% เหลือ 74.92% ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2550 และ BNS ถือหุ้น 24.98%

ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 บริษัทได้ขายหุ้นสามัญในธนาคารธนชาตเพิ่มให้แก่ BNS ตามข้อตกลงการถือหุ้นจำนวน 416,526,737 หุ้น ที่ราคา 18.38 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 1.6 เท่าของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น รวมมูลค่า 7,656 ล้านบาท โดยบริษัทบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนเท่ากับ 2,800 ล้านบาท ธุรกรรมดังกล่าวทำให้ BNS มีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้นเป็น 48.99% ในขณะที่บริษัทมีสัดส่วน 50.92%

ธนาคารธนชาต มีฐานรายได้ที่สมดุลย์ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีรายได้ดอกเบี้ยในสัดส่วน 59% ของรายได้รวมซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยนั้น ธนาคารมีรายได้จากธุรกิจประกันภัยในสัดส่วนมากที่สุดโดยมีรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย/ประกันชีวิตในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 จำนวน 1,396 ล้านบาท หรือคิดเป็น 18.4% ของกำไรก่อนภาษีของบริษัททุนธนชาต ซึ่งรายได้ดังกล่าวช่วยให้ธนาคารสามารถคงระดับความสามารถในการทำกำไรและขยายฐานเงินทุนในระยะยาว ทริสเรทติ้งกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ