นายมงคล กิตติภูมิวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ปี 53 เชื่อว่าปริมาณการซื้อ ขายโดยรวมสูงขึ้น 5-10% มาอยู่ที่เฉลี่ย 19,500-20,000 ล้านบาท/วัน จากปี 52 ที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 18,000 ล้านบาท/วัน โดยเชื่อว่า january effect จะส่อแววทำให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยคาดดัชนีตลาดหุ้นจะทำสถิติสูงสุดที่ 850 จุด และต่ำสุดไม่ต่ำ 600 จุด
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 53 ในปีนี้พยายามให้บริการลูกค้าสถาบันมากขึ้นและให้ความสำคัญกับบทวิจัย ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในระยะยาวได้เพิ่มขึ้น โดยเน้นนักลงทุนประเภทกองทุนในประเทศก่อน ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ไม่ต่ำกว่า 2.5% ใกล้เคียงปี 52 ที่อยู่ที่ 2.4-2.5% ส่วนพอร์ตของบริษัทอยู่ที่ 500 ล้านบาท ไม่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเทรดดิ้ง
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 52 ออกมาไม่แย่มาก โดยมีกำไรจากพอร์ตอยู่ที่ 50-60 ล้านบาท จากการซื้อขายวันละประมาณ 250 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้า 30,000 บัญชีแอคทีฟ 20-30%
"ปีนี้การตั้งเป้าปอบเทรดต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดด้วยอย่างปี 52 ตลาดปรับขึ้นเยอะก็มีโอกาสเยอะ ซึ่งปีนี้ก็ตั้งเป้าไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว ส่วนมาร์เก็ตแชร์ปี 53 ไม่ต่ำกว่า 2.5% ถึงแม้ไม่เพิ่ม แต่อย่างน้อยก็รักษาฐานลูกค้าเดิมไว้" นายมงคล กล่าว
สำหรับค่าคอมมิชชั่นมองว่าปี 53 จะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะค่าคอมมิชชั่น 0% แต่บริษัทได้รับผลกระทบไม่ มากนัก แต่พยายามรักษากฎกติกาของสมาคมบล. ซึ่งวันที่ 22 ม.ค.53 สมาคมบล.จะเรียกประชุมสมาชิก มีวาระเลือกตั้งนายกฯสมาคมบล. และวาระเกี่ยวกับกรณีการคิดค่าคอมมิชชั่น 0%
"คอมฯ 0% จะกระทบรายได้สมาชิกก็แล้วแต่ว่าแต่ละโบรกฯมีฐานลูกค้าอย่างไร แต่ของ AYS ไม่กระทบมาก ส่วนที่กำหนดว่าจะต้องมีบทวิเคราะห์ในหุ้นที่แอททีพนั้นก็อาจจะเพิ่ม cost บ้างแต่ลูกค้าเราเล่นเก็งกำไรไม่มาก " นายมงคล กล่าว
นายมงคล กล่าวอีกว่า ในปี 53 บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาย่อยอยู่ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา 2 แห่ง โดยสาขาแรกจะเปิดที่โคราช ภายใน 2 เดือนนี้ โดยจะเน้นการเปิดสาขาในต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ เพราะบริษัทมีสาขาน้อยมาก และการเปิดสาขาในธนาคาร จะช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยใช้งบลงทุนสาขาละ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท นอกจากนี้ อีกทั้งมีฐานลูกค้าของธนาคารแบงก์ช่วยเพิ่มลูกค้าให้บริษัทได้มาก