นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ด้วยการนำเข้าทองคำแท่ง 96.5% ขนาดแท่งละ 10 บาท จากเพิร์ธมินต์(Perthmint)ประเทศออสเตรเลีย เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นรายแรก เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้กว้างขึ้นทุกระดับไม่ว่าจะเป็นลูกค้าร้านทองขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ตลอดจนลูกค้าประเภทบุคคลทั่วไป โดยกำหนดการซื้อขายขั้นต่ำที่น้ำหนัก 30 บาท
“การนำเข้าทองคำ 96.5% จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการร้านทองรายย่อยในการช่วยลดขั้นตอนการแปรสภาพทองคำจาก 99.99% เป็น 96.5% เพื่อใช้ในการผลิตทองรูปพรรณ อีกทั้งทองคำที่นำเข้ายังมีมาตรฐานสากลโดยได้รับการรับรองจาก LBMA (London Bullion Market Association) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ในขณะที่บริษัทฯมีระบบการซื้อขายที่น่าเชื่อถือจากการซื้อขายทอง 99.99 %อยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ในความโปร่งใส และการบริการที่รวดเร็ว"
สำหรับงผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาว่า บริษัทฯมียอดการนำเข้าและส่งออกทองคำรวมประมาณ 150 ตัน คิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 25% จากปี 2551 ที่มียอดประมาณ 120 ตัน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมที่ประมาณ 55 - 60 %
ในสิ้นปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดค้าส่งทองคำแท่งที่จำนวน 170 ตัน หรือมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 60 % ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในด้านการแข่งขันด้วยการปรับกลยุทธ์การทำงานทุกหน่วยงานเพื่อสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุตามเป้าหมาย พร้อมกับการปรับภาพลักษณ์องค์กรเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือทั้งบริษัทฯและผลิตภัณฑ์ในฐานะแบรนด์วายแอลจี
ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้ตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์ จะไม่ทำรายได้เท่ากับการนำเข้าและส่งออกทองคำแท่ง แต่ก็เป็นตลาดที่มีการเติบโตเร็วมาก จากวันแรกที่บริษัทเริ่มเทรดในเดือนมีนาคม 2552 มีปริมาณการซื้อขายที่ประมาณวันละไม่เกิน 100 สัญญา เพิ่มเป็นประมาณวันละ 500-800 สัญญาในสิ้นปี 2552 เติบโตกว่า 8 เท่าตัว
ความสำเร็จดังกล่าวมาจาก กลยุทธ์ด้านข้อมูลที่ถูกต้อง ฉับไว และสามารถแนะนำทิศทางการลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลตอบแทนสูงสุดของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การมีเจ้าหน้าที่ดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างใกล้ชิด การรายงานบทวิเคราห์ 2 ครั้งต่อวัน การส่ง SMS ราคาทองรายวัน ตลอดจนการโทรศัพท์แจ้งลูกค้าทันทีที่เกิดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ
บริษัทฯ มองว่า ในปีนี้ ตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าที่ขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น เพื่อจะมียอดซื้อขายเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 800-1,500 สัญญา หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20% จากปัจจุบันที่กินส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 10 % อีกทั้งมีแผนจะเพิ่ม SA เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ 22 ราย แต่จะเน้น SA ที่มีขนาดใหญ่ในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากมีความพร้อมในการให้บริการแก่นักลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
“โกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม และถือเป็นตราสารที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดอนุพันธ์ โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็น 27% ของตราสารทั้งหมดที่เทรดอยู่จากช่วงเริ่มต้นที่มีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 7% ทำให้มั่นใจว่าโกลด์ฟิวเจอร์ส จะมีอัตราการเติบโตที่สูงมากต่อไปโดยเฉพาะเมื่อราคาทองคำมีความผันผวนสูง ดังนั้น การให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งวายแอลจีเองก็ได้มีการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับจำนวนนักลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต" น.ส.ฐิภา กล่าวในที่สุด