บลจ.ทิสโก้ มองดัชนีหุ้นไทยปี 53 มีโอกาสแตะ 850 จุดจับตาผลประกอบการ บจ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 19, 2010 14:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปี 53 มีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเดิมที่ 850 จุด ส่วนครึ่งปีหลังให้จับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หากออกมาฟื้นตัวได้ดีก็มีโอกาสที่จะถูก take porfit ได้ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะลดน้อยลงเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจขยายตัว

ขณะที่การปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นในลักษณะ down side คงมีไม่มาก ดังนั้น ในกรณีดัชนีลดลง ต่ำสุดไม่น่าหลุด 650 จุด

"ที่มองไปถึง 850 จุด จากสภาพคล่องและการคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วน 650 จุดเพราะมองว่าหุ้นไทยไม่มี room ให้ลงแล้ว down side จึงไม่มาก"นายสาห์รัช กล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ คือ หุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก่อสร้าง พลังงาน แต่ยังมีปัญหาเรื่องมาบตาพุดกดดันอยู่ ดังนั้น หากกรณีมาบตาพุดมีข้อยุติภายในปีนี้ก็จะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานน่าสนใจมากขึ้น และจะเป็นตัวที่ทำให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นไป 850 จุดได้ ส่วนกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่ม defensive stock เหมือนเดิม คงไม่ได้เติบโตมากหากไม่มีธุรกิจ 3G

ดังนั้น เชื่อว่าในปี 53 การลงทุนในหุ้นน่าจะยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระดับ 15-20% รวมปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมืองแล้ว โดยมองการลงทุนในหุ้นดีกว่าตราสารหนี้ ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกรวมไทยปี 53 จะฟื้นตัวได้ดี เศรษฐโลกอาจจะขยายตัวได้ในระดับ 3-5% ส่วนของเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3-4%

"หุ้นไทยอัพไซด์ยังมี แม้การเมืองยังไม่นิ่ง มาบตาพุดยังอยู่ แต่หุ้นก็ยังไม่แพง พี/อีเฉลี่ยปี 53 ที่ 10-11 เท่า เทียบกับเอเชีย 14 เท่า ทำให้ discount 30% สมน้ำสมเนื้อกับภาพการเมือง ยังลงทุนได้ และหุ้นไทยมีเสน่ห์ตรงที่จ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 4% กว่า และถ้าเป็นบิ๊กแคป 7-8% เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ถือว่าการลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจมากกับภาวะปัจจุบัน"นายสาห์รัช กล่าว

นอกจากนี้ ยังควรมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ เน้นจีน อินเดีย ค่อนข้างสดใส รวมทั้งสหรัฐ และลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะดีในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น เน้นน้ำมัน และอีกปัจจัยที่สนับสนุนคือ เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า ทำให้เงินบาทหลุดระดับ 33 บาท/ดอลลาร์แล้ว

ขณะนี้นักลงทุนทั่วโลกลงทุนผ่านกองทุน ETF ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการถือทองคำ ประกอบกับ ธนาคารกลางของประเทศในเอเซียมีแนวโน้มกระจายเงินสำรองระหว่างประเทศ จากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นการถือทองคำเพิ่มขึ้นด้วย และหากจะออกกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ควรจะมองหาที่ลงทุนแถวละตินอเมริกาก่อนน่าจะให้ผลตอบแทนดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ