นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บมจ.แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย)(HTECH) เปิดเผยว่า ขณะนี้ประสบความสำเร็จในการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.50 บาท ให้กับบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ได้แล้ว โดยมีนักลงทุนที่เป็นทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นพันธมิตร คู่ค้า และนักลงทุนทั่วไป ของ HTECH แจ้งความประสงค์ที่จะซื้อหุ้นดังกล่าวจำนวน 27 ราย
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวนประมาณ 50 ล้านบาท HTECH วางแผนที่จะนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ สำหรับนำมาขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอกับความต้องการเนื่องจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วน HARD DISK DRIVE(HDD)ปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นและเป็นผลบวกกับยอดขายด้วย
“นักลงทุนที่มาซื้อหุ้น PP ครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรและคู่ค้าทางธุรกิจจากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของ HTECH ในทุกๆ ด้าน เพื่อให้กิจการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทด้วย"นายพีท กล่าว
จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้บริษัทมั่นใจว่าปีนี้จะมียอดขายตามเป้าหมายที่วางเอาไว้คือ 350 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปี 52 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 27%
ขณะที่สถานการณ์การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วน HARD DISK DRIVE (HDD) ที่ฟื้นตัวตามภาวะทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2552 ส่งผลทำให้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงปลายเดือนพ.ย.-ธ.ค.552 บริษัทได้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรแล้ว 3 เครื่อง มูลค่า 41 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตในครึ่งปีแรกของปี 53 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 25% เมื่อเทียบกับกำลังผลิตของปีก่อน แต่คาดว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้จะเดินเครื่องเต็ม 100% ก็ตาม
ดังนั้นในปี 53 บริษัทจึงเตรียมลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่มอีกจำนวน 5 เครื่อง มูลค่าประมาณ 63 ล้านบาท เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์เก่าและใหม่ที่บริษัทดำเนินการอยู่ ประกอบด้วย เครื่อง PCD Grinding จำนวน 1 เครื่องใช้ผลิต PCD cutting tools เช่น PCD Drill , เครื่อง Carbide Grinding จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้ผลิต Carbide Cutting Tools และเครื่อง Wire cut อีกจำนวน 2 เครื่อง สำหรับผลิตภัณฑ์ Hollow toolsโดยจะเริ่มทยอยเข้ามาช่วงเดือนมีนาคม 2553 ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 50% ในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อเทียบกับกำลังผลิตของปี 52