ธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) ตั้งเป้าปี 53 สินเชื่อขยายตัว 6% หรือคิดเป็น 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับในปี 52 ที่ผ่านมา แม้จะมองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย(GDP)จะขยายตัวในระดับ 3-3.5% แต่ยังมีความกังวลในประเด็นมาบตาพุด และปัญหาการเมือง
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าจะลดลงต่ำกว่า 5% จากสิ้นปี 52 อยู่ที่ 7% โดยมีแผนจะขายสินทรัพย์ประเภท NPL ราว 1 หมื่นล้านบาท
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) กล่าวว่าทิศทางของธนาคารในปี 53 เป็นปีของการทำธุรกิจเชิงรุกเพื่อขยายฐานลูกค้าเป้าหมาย ต่อยอดนโยบายที่วางไว้ในปีที่ผ่านมา โดยจะใช้เครือข่ายสาขาธนาคารและการวางระบบที่ดี เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม young generation
ปี 53 ธนาคารวางเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 6% โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเอสเอ็มอี รวมทั้งปรับพอร์ตสินเชื่อลูกค้า Corperate โดยเฉพาะสินเชื่อภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่สร้างผลตอบแทนได้น้อย แต่จะเน้นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ธนาคารสามารถให้บริการได้ครบวงจร
ปัจจุบัน พอร์ตสินเชื่อรายย่อยของธนาคารเพิ่มขึ้น จาก 26% เป็น 28% พอร์ตลูกค้าเอสเอ็มอี ทรงตัวที่ 37% และพอร์ตสินเชื่อลูกค้ารายย่อย ลดลงจาก 37% เหลือ 35%
ในด้าน NPL ในปี 52 อยู่ที่ 7.82% ลดลงจาก 7.98% ในปี 51 ภายใต้การปล่อยสินเชื่อที่ทรงตัวในปีก่อน สะท้อนว่าธนาคารสามารถบริหารจัดการหนี้เสียได้ดีในระดับหนึ่ง ขณะที่ปี 53 ตั้งเป้าลด NPL เหลือ ต่ำกว่า 5% โดยมีแผนจะขาย NPL จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะลด NPL ลงได้ 2%
ด้านเงินฝาก ธนาคารจะเน้นการปรับฐานลูกค้าเงินฝาก โดยเน้นลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ และนักธุรกิจรุ่นใหม่ โดยจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์มากขึ้น จากสิ้นปี 52 อยู่ที่ 33.40% เพิ่มเป็น 40% และสัดส่วนเงินฝากประจำ อยู่ที่ 60% โดยที่สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 86%
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ธนาคารพร้อมปรับตัวไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือห้นหรือไม่ ซึ่งการได้พันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่เข้ามาแทนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินนั้น นอกจากเม็ดเงินแล้ว ก็ควรจะเข้ามาสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้ง know how , เทคโนโลยี, system และ สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เพื่อขยายเครือข่ายไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น เพื่อให้ 3 ปีข้างหน้า ธนาคารจะก้าวสู่ธนาคารชั้นแนวหน้าที่มีจุดยืนชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จากความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น แต่ธนาคารยังวางแผนธุรกิจในปี 53 ตามปกติ แต่พร้อมที่จะมีการทบทวนแผนธุรกิจใหม่อีกครั้งในช่วงไตรมาส 2/53 จากที่คาดว่าภายในเดือน ก.พ.-มี.ค.53 จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายใหม่แล้ว ดังนั้น การดำเนินธุรกิจของธนาคารช่วงครึ่งปีแรก ยังเป็นไปตามแผนงานเดิมที่วางไว้ ส่วนครึ่งปีหลังคงต้องขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของผู้ถือหุ้นใหม่ด้วย
"ภายใน ก.พ.-มี.ค.น่าจะมีความชัดเจนว่ากองทุนฟื้นฟูฯจะขายหุ้นให้ใคร หลังจากนั้นจะเป็น process ของการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ กับผู้ถือหุ้นรายย่อย และการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหม่ ขระเดียวกันอาจจะมีการทบทวนแผนธุรกิจใหม่ แต่เราก็ยังมีแผนหลักทางธุรกิจที่วางไว้อยู่แล้ว" นายชัยวัฒน์ กล่าว