ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (21 ม.ค.) หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างหนัก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 213.27 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 10,389.88 จุด ดัชนี S&P 500 รูดลง 21.56 จุด หรือ 1.89% ปิดที่ 1,116.48 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 25.55 จุด หรือ 1.12% ปิดที่ 2,265.70 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 2.89 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.89 พันล้านหุ้น
นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งฉุดดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงกว่า 200 จุด หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามาเสนอให้มีการออกกฎที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการจำกัดการลงทุนแบบเสี่ยงสูงของสถาบันการเงิน โดยกฎดังกล่าวคล้ายกับมาตรการควบคุมภาคธนาคารที่สหรัฐเคยนำมาใช้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930
คณะทำงานของโอบามาเปิดเผยว่า โอบามาจะประกาศมาตรการชุดใหม่ในการลดขนาดความเสี่ยงที่มากเกินไป ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎระเบียบทางการเงินในสหรัฐ โดยข้อเสนอในครั้งนี้จะรวมถึงการกำหนดเพดาน ความซับซ้อนและขนาดของการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบริษัทเอง (proprietary trading) ซึ่งทางทำเนียบขาวจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อปรับสิ่งนี้ให้เป็นร่างกฎหมาย
โอบามากำลังโจมตีสถาบันการเงินที่ตกเป็นเป้าแห่งความไม่พอใจของประชาชน เพราะในขณะที่ชาวสหรัฐกำลังเผชิญกับอัตราการว่างงานราว 10% แต่ผู้บริหารธนาคารกลับได้รับเงินโบนัสหลายล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาด 36,000 ราย แตะที่ 482,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ม.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 440,000 รายงาน
ทั้ง หุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงอย่างหนัก โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป หุ้นเจพีมอร์แกน และหุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ร่วงลงกว่า 4% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงตามราคาน้ำมันดิบ NYMEX โดยหุ้นเอ็กซอนดิ่งลง 1.7% และหุ้นเชฟรอนร่วง 1.9%