โบรกฯ เชียร์"ซื้อ"HEMRAJ คาดปีนี้กำไรดีหลังตั้งเป้ายอดขายที่ดิน 800ไร่

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 22, 2010 10:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หรือ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน(HEMRAJ)มองปี 53 เป็นปีการฟื้นตัวของธุรกิจ คาดผลประกอบการบริษัทผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อปี 52 ขณะที่บริษัทตั้งเป้าขายที่ดินในปี 53 จำนวน 800 ไร่ โดยไตรมาสแรกมียอดขายที่ดินแล้ว 400 ไร่ อีกทั้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจคอนโดมิเนียม พาร์ค ชิดลม ที่เริ่มเดินหน้ายอดขายในปีนี้

ขณะที่ปัญหามาบตาพุดที่ยังไม่มีข้อสรุปเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลต่อการขายที่ดินแล้ว เนื่องจากตลาดรับรู้แล้ว แต่หากมาบตาพุดมีข้อสรุปโดยเร็ว คาดว่าน่าจะเป็นผลดีให้ยอดขายที่ดินได้เพิ่มขึ้น

          โบรกเกอร์                คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.ทรีนิตี้                   ซื้อ             1.30
          บล.กรุงศรีอยุธยา          ซื้อเก็งกำไร         1.15
          บล.โกลเบล็ก                ซื้อ             1.10
          บล.บัวหลวง                 ซื้อ             1.10

นายเถลิงศักดิ์ ตันติพินธวัตร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ แนะ"ซื้อ"หุ้น HEMRAJ มองว่ายังน่าลงทุนและปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของธุรกิจ หลังจากผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อปี 52 โดยปี 53 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการขายที่ดินเพิ่มยขึ้น เนื่องจากตั้งเป้าเป้าหมายขายที่ดินสูงถึง 800 ไร่ในปีนี้ เบื้องต้นมีการเจรจาติดต่อซื้อขายที่ดินได้แล้ว 400 ไร่ในไตรมาส 1/53 ขณะที่ปี 52 บริษัทขายที่ดินได้เพียง 144 ไร่

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมที่ชิดลมที่เริ่มเปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาส 4/52 โดยมีมูลค่าที่เหลือรอขายอีกจำนวน 1,492 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 500-600 ล้านบาท

ดังนั้น คาดว่าในปี 53 บริษัทจะมีรายได้ 3,921 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% จากปี 52 ที่คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 2,363 ล้านบาท ลดลง 54% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 530 ล้านบาท ลดลง 61%

ส่วนกรณีปัญหามาบตาพุดมองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบริษัทเพิ่มขึ้นแล้ว เพราะที่ดินที่ 300 ไร่ในมาบตาพุดเป็นที่ดินที่รอการขายมานานแล้วและการเจรจาหยุดชะงักไป แต่หากปัญหามาบตาพุดได้ข้อยุติโดยเร็วก็น่าจะทำให้ HEMRAJ กลับมาขายที่ดินได้ อย่างไรก็ตาม เนื้อที่ 300 ไร่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบภาพรวม เพราะเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ดมีเนื้อที่ 4,000 ไร่ แต่มีปัญหา 1,000ไร่เท่านั้น ขณะที่พื้นที่ที่เหลือยังขายได้ ดังนั้น จึงไม่ได้มองว่าจะเป็นผลกระทบ

"เรามองกรณีมาบตาพุดจะเป็นข่าวดีมากกว่า เพราะหากปัญหามาบตาพุดเคลียร์ได้เร็ว ก็จะทำให้บริษัทขายที่ดินได้เพิ่มขึ้นก็น่าจะเป็นข่าวดี ขณะที่มองปีนี้ปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไม่น่าจะมี นอกจากกรณีมาบตาพุด ยกเว้นหากปัญหาการเมืองในประเทศมีความรุนแรงเท่านั้น"นายเถลิงศักดิ์ กล่าว

บทวิเคราะห์ของ บล.กรุงศรีอยุธยา มองว่า ในปีนี้ HEMRAJ น่าจะมีการฟื้นตัวจากการขายที่ดินได้เร็วกว่านิคมอุตสาหกรรมอื่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทมีลูกค้า คือ บริษัท ซูซูกิ ที่น่าจะสนับสนุนยอดขายที่ดินได้มากขึ้น รวมถึงธุรกิจกลุ่มพลังงานทดแทน Green Energy ที่จะมีการเปิดโรงงานเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีลูกค้าหลักในกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงานอยู่แล้ว ดังนั้น หากปัญหามาบตาพุดมีข้อสรุปโดยเร็วจะทำให้ยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ทางผู้บริหาร HEMRAJ ออกมาเปิดเผยว่าจะขายที่ดินในไตรมาส 1/53 ได้จำนวน 400 ไร่ แม้จะยังไม่มีการเซ็นสัญญา แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขายที่ดินในปีนี้ จากการตั้งเป้าหมายขายที่ดินทั้งปี 800 ไร่ ดังนั้น จึงมองว่าผลประกอบการปีนี้น่าจะดีกว่าปี 52

อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าแม้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะดีขึ้น แต่ยังไม่มีเสถียรภาพในการทำกำไรมากนัก เนื่องจากบางธุรกิจ เช่น คอนโดมิเนียม พาร์ค ชิดลม ยังไม่สามารถขายได้หมด ขณะที่คอนโดมิเนียมใหม่ที่เคยประกาศจะเปิดตัวเร็วกว่าที่คิดก็ยังไม่มีการเปิดตัว แต่โครงการโรงไฟฟ้าที่ร่วมมือกับ บมจ.โกลว์ พลังงาน(GLOW)มีความคืบหน้าด้วยดี โดยรวมแล้วมองว่าหุ้น HEMRAJ ยังแนะ Trading เพราะปัจจัยพื้นฐานยังด้อยกว่าหุ้นนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่มุมมองการฟื้นตัวดูดีกว่า

ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า HEMRAJ จะกลับมาสร้างผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่นในปี 53 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากปี 52 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 533 ล้านบาทลดลง 58% เนื่องจากคาดว่าปีนี้บริษัทจะมียอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะยอดขายซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมากถึง 400 ไร่ในไตรมาส 1/53 ซึ่งคิดเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับยอดขายทั้งปีของปี 52 ประกอบกับ ปีนี้บริษัทวางแผนที่จะนำคอนโดมิเนียม The Park Chidlom ซึ่งเหลือพื้นที่ขายอีก 41 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 1,400 ล้านบาทกลับมาเปิดขายใหม่อีกครั้ง

ราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำกว่า Book Value ปี 53 ที่ 0.94 บาท/หุ้น ส่วนเงินปันผลคาดว่าจะมีเงินปันผลสำหรับปี 52 ที่ 0.03 บาท/หุ้นคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 3%

"ส่วนข่าวที่บริษัทมี 2 โครงการติดอยู่ใน 65 โครงการซึ่งศาลสั่งให้หยุดดำเนินการในมาบตาพุด เห็นว่าประเด็นนี้ตลาดและราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงตอบรับไปแล้ว"บทวิเคราะห์ ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ