นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ(PRIN)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทปรับแผนการระดมทุนในปีนี้ โดยยกเลิกการออกหุ้นกู้วงเงิน 150-200 ล้านบาทในปีนี้มาเป็นการออกตั๋วแลกเงิน(บี/อี)แทน เนื่องจากมองว่ามีความคล่องตัวมากกว่า ซึ่งบริษัทได้แจ้งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักหรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เพื่อเปิดวงเงินไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ในปี 52 บริษัทได้มีการออกตั๋วบี/อีขายให้กับสถาบันการเงินราว 400-500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 3-4% ซึ่งเงินที่ได้จากการออกตั๋วบี/อีจะนำมาใช้ในการซื้อที่ดินและใช้เป็นทุนหมุนเวียน
"ขณะนี้บริษัทไม่ได้มีความจำเป็นในการใช้เงินจำนวนมาก อย่างมากก็เพื่อซื้อที่ดินเท่านั้นประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท นอกจากนี้การขายตั๋วบี/อีถือว่าดีกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ และดีกว่าการขายหุ้นกู้ เพราะมีระยะเวลาที่สั้นกว่าด้วย"นายวีระ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตขึ้นเป็น 5 พันล้านบาท จากปี 52 ที่ทำรายได้ราว 4.8 พันล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4.3 พันล้านบาท และรายได้จากการขายที่ดิน 550 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายในปี 52 อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท
นายวีระ กล่าวว่า การรับรู้รายได้ในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และยังมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้ถึงกำหนดโอนโครงการ ได้แก่ "สมาร์ท คอนโดฯ พระราม 2", "เดอะ คอมพลีท นราธิวาส", "บริดจ์ พหลโยนธิน 37" มูลค่ายอดโอนรวมประมาณ 3.5 พันล้านบาท
ด้านนายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการ PRIN กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ ซึ่งในจำนวนนี้ 5 โครงการมีที่ดินรอพัฒนาแล้ว มูลค่าโครงการรวม 6 พันล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ" สมาร์ท คอนโดฯ วัชรพล"ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นขอเข้าโครงการบ้าน BOI
ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวคาดว่าจะเห็นในปีนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ที่ดินถูกใจ โดยการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวจะมีการปรับขนาดให้เล็กลงเหลือหลังละ 50-60 ตารางวา จากเดิมที่จะมีขนาดตั้งแต่ 50-100 ตารางวา ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถตั้งราคาขายลดลงตามไปด้วย เหลือราคาเฉลี่ยหลังละ 4-6 กว่าล้านบาท จากเดิมราคาเฉลี่ยหลังละ 4-10 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการนั้นจะมีการรีแบรนด์ดิ้ง โดยทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น จำนวน 1 โครงการจะเปลี่ยนแบรนด์ใหม่เป็น"Six Nature"จากเดิม"ปริญลักษ์" และทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น จำนวน 3 โครงการจะใช้แบรนด์ใหม่"City sense"
กลยุทธในปี 53 บริษัทจะให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการด้วยการจบโครงการให้ได้ภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง จากปกติ 2 ปี และกำหนดขนาดโครงการไม่เกิน 200 ยูนิต ขณะเดียวกันในปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการประเภทคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 30% ขณะที่โครงการแนวราบจะลดลงเหลือ 50% จาก 30%ในปีก่อน เพราะในปีนี้มีการโอนคอนโดฯในจำนวนมาก