นักวิเคราะห์ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะร่วงลงอีกในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงินจะร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจเกิดภาวะตึงตัวในภาคการเงินและการธนาคารของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงิน
โอบามาให้เหตุผลว่า นโยบายที่เขาเสนอมีเป้าหมายที่จะลดความเสี่ยงอันอาจจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ รวมถึงการห้ามไม่ให้สถาบันการเงินเข้าไปลงทุนในเฮดจ์ฟันด์และกองทุนไพรเวทอิควิตี้ โดยกฎดังกล่าวคล้ายกับมาตรการควบคุมภาคธนาคารที่สหรัฐเคยนำมาใช้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930
นักวิเคราะห์จากบริษัท เอ็มเอฟ โกลบอล กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อเสนอของโอบามาตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 22 มาจนถึงวันศุกร์ที่ 23 ม.ค. และคาดว่าความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวจะส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนไม่สนใจต่อเหตุผลของโอบามา แต่กลับวิตกว่าภาคการเงินและการธนาคารของสหรัฐอาจได้รับผลกระทบทั้งในด้านผลประกอบการและข้อจำกัดด้านการลงทุน
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทกฎหมาย Eversheds LLP และบริษัท Clifford Chance LLP ในกรุงลอนดอนกล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าข้อเสนอของโอบามาเป็นการดำเนินการแบบทางเดียวและสกัดการขยายตัวของภาคธนาคาร และเท่ากับเพิ่มความเปราะบางให้กับภาคธนาคาร
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังวิตกกังวลต่อข่าวที่ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.5% เพื่อควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์และสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้ขยายตัวมากเกินไป หลังจากยอดการปล่อยเงินกู้เดือนธ.ค.ปี 2552 เพิ่มขึ้นแตะ 3.798 แสนล้านหยวน หรือ 5.56 หมื่นล้านดอลลาร์ จากยอดการปล่อยกู้เดือนพ.ย.ที่ 2.94 แสนล้านหยวน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะใช้มาตรการควบคุมอัตรการปล่อยสินเชื่อครั้งใหม่ในเร็วๆนี้ เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2552 ขยายตัว 10.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว มากกว่าไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 8.9% ส่วนจีดีพีปี 2552 ขยายตัว 8.7% คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 33.54 ล้านล้านหยวน หรือ 4.91 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันจันทร์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะรายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. วันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนพ.ย. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ยวันแรก
วันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. และเฟดจะประกาศมติการประชุมกำหนดอัตราดอกเบี้ย วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค. และกระทรวงแรงงานจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งแรกของจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2552 และมหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายเดือนม.ค.