IRPC เผยแนวทางควบรวมใกล้สรุป คาดใช้ PTTAR เป็นแกนเข้าซื้อกิจการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 25, 2010 10:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แหล่งข่าวระดับสูง บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC)กล่าวว่า แผนการควบรวมกิจการในเครือ ปตท.ใกล้จะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าคู่แรกจะเป็นการควบรวมระหว่าง IRPC และ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) โดยคาดว่าเบื้องต้นจะใช้รูปแบบให้ PTTAR เข้าซื้อกิจการ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาความชัดเจนของรายละเอียดอีกครั้ง โดยขณะนี้ทาง PTTAR ได้มอบหมายให้บล.ภัทร (PHATRA)เป็นที่ปรึกษา

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาแนวทางในเบื้องต้น 2 แนวทาง ประกอบด้วย 1. ให้ IRPC-PTTAR ควบรวมกันตั้งเป็นบริษัทใหม่ขึ้นมา ด้วยวิธีแลกหุ้นเหมือนกับกรณีของ บมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย)(ATC) และ บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC) ส่วนวิธีที่ 2 หากกรณีที่ ปตท.ให้ PTTAR เป็นแกนหลัก PTTAR ก็อาจจะต้องเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาซื้อหุ้น IRPC เพื่อเข้าถือหุ้นทั้ง 100% และ IRPC จะกลายเป็นบริษัทลูก

"ปตท.ยังเลือกวิธีควบรวมกิจการระหว่าง IRPC กับ PTTAR เนื่องจาก 2 บริษัทดังกล่าวน่าจะเป็นคู่แรกที่ PTT จับควบรวมกิจการกัน เนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องมาบตาพุดเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ต้องคิดถึงผู้ถือหุ้นทั้งสองบริษัทต้องได้ประโยชน์จากดีลที่เกิดขึ้นหากบริษัท A+B เป็น C คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นการให้ PTTAR เข้าซื้อ IRPC มากกว่า เพราะ IRPC ยังมีปัญหาเรื่องคดีฟ้องร้องเดิมและยังมีขาดทุนสะสมอีก 1.8 หมื่นล้านบาทด้วย"แหล่งข่าว กล่าว

แนวทางที่ให้ PTTAR เป็นผู้ซื้อ IRPC น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากแนวทางแรกผู้ถือหุ้น PTTAR น่าจะไม่ยอม เพราะว่า IRPC ยังติดปัญหาคดีความหลายคดี นอกจากนั้น หากควบรวมแล้วตั้งเป็นบริษัทใหม่ขึ้นมาบริษัทใหม่จะทำให้หมดสิทธิลดหย่อนทางภาษี 5 ปีที่ IRPC ได้รับจากกรณีที่มีขาดทุนสะสม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรณีดังกล่าวผู้ถือหุ้น PTTAR จะเสียเปรียบ

นอกจากนั้น หากใช้วิธีซื้อหุ้น IRPC มาเป็นบริษัทลูกของ PTTAR แม้ว่าบริษัทแม่จะต้องบันทึกขาดทุนของบริษัทลูกไว้ แต่บริษัทแม่ก็สามารถใช้วิธีให้บริษัทลูกจ่ายเป็นเงินปันผลมาให้

ด้าน นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า แนวโน้มราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 1/53 ดีกว่าไตรมาส 1/52 เนื่องจากราคาน้ำมันสูงกว่าในช่วงไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่ราคาอยู่ที่ระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยะปัจจุบันอยู่ที่กว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ขณะนี้ราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนอยู่ที่ 1,300 เหรียญต่อตัน ส่วน LLDPE ราคาอยู่ที่ 1,400 เหรียญต่อตัน และแนวโน้มราคาปิโตรเคมีน่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อไปจนถึงช่วงตรุษจีน และพอหลังจากนั้นราคาก็น่าจะลดลง เนื่องจากช่วงดังกล่าวเรือขนส่งสินค้าหยุดเดินเรือ

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าผลประกอบการในปี 52 น่าจะพลิกเป็นกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 18,250.32 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนของปีบริษัทก็สามารถทำกำไรได้ โดยมองว่ารายได้ทั้งปี 52 น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1.7-1.8 แสนล้านบาท ดีกว่าปีก่อนหน้านั้น หลังจากบริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการบริหารงานและส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขการเติบโตที่ชัดเจนได้

“และในปีนี้เชื่อว่ายอดขายจะเติบโตขึ้นจากปี 52 ตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดยังดีต่อเนื่อง ประกอบกับ บริษัทมีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนการผลิตในโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งใช้เงินลงทุน 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐ หากแล้วเสร็จก็จะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น"นายไพรินทร์ กล่าว

สำหรับในปี 53 บริษัทมีแผนเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมัน 75% ของกำลังการผลิต จากปีก่อนที่บริษัทใช้กำลังการผลิตโรงกลั่น 70% หรือ 145,000 บาร์เรล/วัน และกำลังการผลิตปิโตรเคมียังคงใช้เต็มที่ 100% โดยราคายังมีแนวโน้มที่ดีตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ