ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กคาด"เบอร์นันเก้"นั่งประธานเฟดสมัยสอง หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 23.88 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 26, 2010 06:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ม.ค.) เนื่องจากข่าวที่ว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับเสียงสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดต่อเป็นสมัยที่สอง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 23.88 จุด หรือ 0.23% แตะที่ 10,196.86 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 5.02 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 1,096.78 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 5.51 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 2,210.80 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.05 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 2.18 พันล้านหุ้น

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับข่าวที่ว่าวุฒิสมาชิกแม็กซ์ โบคัส ประธานคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐ และวุฒิสมาชิกไดแอน เฟ็นสเต็น จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ยืนยันว่า พวกเขาจะสนับสนุนการแต่งตั้งเบอร์นันเก้ให้เป็นประธานเฟดสมัยที่สอง ขณะที่เดวิด เอ็กเซลร็อด ที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาวระบุว่า เบอร์นันเก้มีฐานเสียงมาพอที่จะรั้งตำแหน่งได้อีกครั้ง

เบอร์นันเก้จะครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในวันอาทิตย์ที่ 31 ม.ค.นี้ และวุฒิสภาสหรัฐจะประชุมเพื่อลงคะแนนแต่งตั้งเบอร์นันเก้ในสัปดาห์หน้า โดยเบอร์นันเก้เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถนำพาสหรัฐฝ่าฟันวิกฤตการณ์การเงินครั้งรุนแรงไปได้ และได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำของเฟดไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา

นักลงทุนจับตาดูการประชุมเฟดซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 26-27 ม.ค.นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0-0.25% พร้อมกับรอดูแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่าเฟดจะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างไร พร้อมกับจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนในสัปดาห์นี้ รวมถึงบริษัท อเมซอน อิงค์, เอทีแอนด์ที อิงค์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค., รายงานราคาบ้านเดือนพ.ย. รายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.,ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค. และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2552 โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจีดีพีไตรมาส 4 ของสหรัฐ จะขยายตัว 4.6% ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากภาคการผลิตขยายตัวและบริษัทเอกชนสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ๆมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ