นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยง้วนเมทัล(TYM)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาต่อยอดกิจการในหลายบริษัทที่น่าสนใจ ทั้งในส่วนของการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าที่บริษัทยังผลิตไม่ได้ และการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย แต่ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจนในการหาข้อสรุป
“มีพูดคุยกันอยู่ การหาพันธมิตรของบริษัทคงไม่รวดเร็วทันใจเหมือนเจ้าอื่นๆเขา เนื่องจากต้องแน่ใจจริงๆ ว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ถึงตัดสินใจ"นายบุญชัย กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทเพิ่งได้พันธมิตรใหม่เข้ามาเมื่อปี 52 ซึ่งบริษัทได้วางแผนขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กเพิ่มขึ้น 1.2 แสนตัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 1.8 แสนตัน โดยพื้นที่ขยายโรงงานในเฟสแรกจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค.53 ใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท มีกำลังการผลิตประมาณ 6 หมื่นตัน และปีนี้เตรียมสร้างเฟสที่ 2 เพิ่มเติม คาดใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 100 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 6 หมื่นตัน
*ปี 53 คาดรายได้โต 10% กำไรโตต่อเนื่องจากปี 52
นายบุญชัย คาดว่า รายได้ในปี 53 ดีขึ้นจากปี 52 ราว 10% ตามทิศทางราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่มีราคาขายเฉลี่ย 20 บาท/กิโลกรัม ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 53 ทิศทางราคาเริ่มปรับตัวดีขึ้น และเชื่อว่าราคาจะไม่ผันผวนมากนัก ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าปริมาณขายเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ รวมทั้ง เชื่อว่าน่าจะมีกำไรต่อเนื่องเช่นกัน
บริษัทเชื่อว่าในปี 52 ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไร แม้ว่างวด 9 เดือนปี 52 บริษัทยังคงขาดทุนอยู่ 33.11 ล้านบาท จากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกค้า 1 รายมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งหากสะสางได้จะบันทึกรายได้กลับเข้ามาในผลประกอบการ และปัญหาขาดทุนสต็อกที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 51 ที่ราคาเหล็กลดลงอย่างรุนแรง โดยมีมูลค่าประมาณ 80 ล้านบาท
นายบุญชัย กล่าวว่า รายได้ในปี 52 คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้าที่ทำรายได้ 5.6 พันล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กลดลง 40% จากปี 51 ที่มีราคาเหล็กเฉลี่ยที่ 30 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ งวด 9 เดือนแรกของปี 52 บริษัทมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท นอกจากนี้ แต่ในด้านปริมาณขายในปี 52 จะเพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีปริมาณ 1.5 แสนตัน และยังเติบโตต่อเนื่องในปี 53
“ปี 52 รายได้คงน้อยกว่าปี 51 มากแน่นอนเพราะราคาเหล็กลงกว่าปีก่อนถึง 40% แต่ปี 53 มั่นใจรายได้เติบโต 10% ตามราคาเหล็ก ที่มีแนวโน้มราคาดีขึ้น และปริมาณขายสูงขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ และราคาเหล็กจะไม่มีปัญหาความผันผวนมากนัก"นายบุญชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม การที่ปี 52 บริษัทกลับมามีกำไรแม้ว่าไม่มากทางฝ่ายบริหารจะเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทโดยนโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ แต่ต้องดูรายละเอียดในเรื่องการลงทุน ที่บริษัทจะมีการลงทุนเฟส สอง อาจเป็นข้อจำกัดในการจ่ายปันผลแต่บริษัทยังมีสภาพคล่องสูงดังนั้นการที่มีกำไรจะสามารถจ่ายปันผลได้แต่ต้องรอคณะกรรมการบริษัทอนุมัติอีกครั้ง
นายบุญชัย กล่าวว่า ในปีนี้รายได้หลักของบริษัทจะมาจากการเทรดดิ้งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทพยายามจะรักษาสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งและรายได้จากสินค้าที่ผลิตเองไว้ที่ 70% และ 30% เพราะไม่ต้องการให้รายได้จากเทรดดิ้งมากเกินไป
และในปี 54 บริษัทตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้เทรดดิ้ง 60% และสินค้าที่ผลิตเอง 40% เนื่องจากธุรกิจเทรดดิ้งมีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Margin)อยู่ในระดับต่ำที่ 3-5% ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 7-8% และมองว่าปี 53 จะเห็นอัตราขั้นต้นโดยเฉลี่ย 5-8% ได้เพราะคาดว่าราคาเหล็กปีนี้ไม่ผันผวนและพยายามคงสัดส่วนการเทรดดิ้งไม่ให้สูงกว่า 70%