โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หรือ"ซื้อเมื่ออ่อนตัว"หุ้น บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย(SCC)คาดผลประกอบการไตรมาส 4/52 โดยรวมจะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) จากส่วนต่างของราคาปิโตรเคมีปรับตัวลดลงตามฤดูกาล แต่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน(yoy) กลับดีขึ้นมาก จากที่ขาดทุนพลิกกลับมีกำไรได้ ขณะที่ภาพรวมของบริษัทที่มีหลายธุรกิจ โดยเฉพาะปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คาดว่าปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนปิโตรเคมีคาดว่าจะลดลง
ขณะที่ปัญหามาบตาพุด หลังศาลปกครองไม่อนุญาตตามคำร้องขอผ่อนผันให้เดินหน้าโครงการต่อ มองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ และหากปัญหาคลี่คลายลงก็น่าจะส่งผลดีมากกว่า
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.เกียรตินาคิน ซื้อเมื่ออ่อนตัว 214 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 265 บล.ทิสโก้ ซื้อ 284 บล.เคจีไอ ซื้อ 274 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 260
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ผลประกอบการของ SCC ในไตรมาส 4/52 คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาส 1/51 ซึ่งบริษัทมีผลขาดทุนเนื่องจากมีภาระตั้งสำรองจากinventory loss ธุรกิจปิโตรเคมี ขณะที่ราคาปิโตรเคมี ซึ่งเป็นธุรกิจหลักมีแนวโน้มอ่อนตัว โดยส่วนต่างของราคาเฉลี่ยในไตรมาส 4/52 อยู่ที่ 520 ดอลลาร์/ตัน ลดลงจากไตรมาส 3/52 ที่อยู่ที่ 640 ดอลลาร์/ตัน
อย่างไรก็ตาม แม้การคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 4/52 จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 5,156 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมทั้งปี 52 ยังเติบโตได้ดี โดยอยู่ที่ 24,169 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลปี 52 ที่ 8.00 บาท/หุ้น โดยจ่ายปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกไปแล้ว 3.50 บาท/หุ้น และคาดจ่ายส่วนที่เหลือครึ่งปีหลังที่ 4.50 บาท/หุ้น
ขณะที่ปี 53 บริษัทยังมีการขยายกำลังการผลิตได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ดีกว่าปี 52 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ราคาปูนซีเมนต์ ราคาวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้น คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25,200 ล้านบาท
แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่ายังมีแรงกดดันต่อการทำกำไรของบริษัทในปี 53 เนื่องจากส่วนต่างของราคาขาย-ราคาผลิตของธุรกิจปิโตรเคมี อาจลดลงอีก ขณะที่ปัญหามาบตาพุดหากคลี่คลายจะส่งผลดีต่อการเพิ่มการผลิต และเป็นผลดีต่อรายได้บริษัทมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามแถลงผลประกอบการของบริษัทที่จะประกาศในวันที่ 27 ม.ค.53 และการชี้แจงนโยบายของผู้บริหารบริษัทว่าจะมีประเด็นต่างๆ ที่ sensitive ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคาดการณ์
นายอดิศักดิ์ พรหมบุญ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ มอง SCC ยังมีการเติบโตได้ดี แม้จะมีปัญหาการลงทุนจากกรณีมาบตาพุด โดยไตรมาส 4/52 คาดบริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิที่ 5,446 ล้านบาท เติบโต 256% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 22% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ลดลงตามฤดูกาล แต่ยังมีผลกำไรจากธุรกิจปูนซิเมนต์ที่ปรับตัวดีขึ้น
ส่วนปี 53 มองผลประกอบการบริษัทยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ธุรกิจปิโตรเคมีมีโอกาสอ่อนตัวจากผลของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่จะลดลงตามฤดูกาล ขณะที่ผลกระทบจากมาบตาพุดในปีนี้ยังมีจำกัดเนื่องจากโครงการหลักของบริษัทฯ ยังสามารถเดินหน้าต่อได้
"การที่ศาลปกครองได้ยกคำร้องอุทธรณ์ 30 โครงการในมาบตาพุด มองว่าคงไม่ใช่ประเด็นใหม่เพราะเป็นเรื่องที่ต้องชะลอการลงทุนเพื่อรอ HIA แต่ความล่าช้าหลังจากศาลยกคำร้องอุทธรณ์ อาจทำให้โครงการชะลอออกไป ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นเชื่อว่าไม่น่าส่งผลกระทบต่อปูนใหญ่ในปีนี้ แต่อาจจะมีผลกระทบในปี 54 มากกว่า" นายอดิศักดิ์ กล่าว
นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในไตรมาส 4/52 คาดว่า SCC จะมีกำไรสุทธิ 5,600 ล้านบาท ลดลง 18.9% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า จากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลงจากการลดลงของส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและปริมาณขายจากปัจจัยด้านฤดูกาล และการหยุดการผลิตนอกแผนการ นอกจากนี้กำไรจากธุรกิจกระดาษที่น่าจะลดลงด้วยจากปัจจัยด้านฤดูกาล
ทั้งนี้ มองว่าผลประกอบการของ SCC ในปี 53 ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ดี จากผลประกอบการของธุรกิจปูนซีเมนต์, กระดาษและวัสดุก่อสร้างน่าจะขยายตัวจากความต้องการที่สูงขึ้นและการขยายกำลังการผลิตกระดาษ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีจะมีส่วนต่างกำไรลดลง
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทน่าจะกลับมามีอัตราการเติบโตในปี 54 เมื่อเริ่มดำเนินงานโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มองผลประกอบการ SCC มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ และไม่มีผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ แต่คาดกำไรจะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยไตรมาส 4/52 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 5,800 ล้านบาทจากผลประกอบการที่ชะลอตัวลงในธุรกิจปิโตรเคมี
ธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าไตรมาส 4/52 มีผลกำไร 4,400 ล้านบาท ดีขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จากปริมาณขายและส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ลดลงเนื่องจากบริษัทฯ ปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ธุรกิจปูนซีเมนต์ คาดว่า SCC จะรายงานกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมฯ จากธุรกิจปูนซีเมนต์ในไตรมาส 4/52 ที่ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคาดว่ายอดขายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพิ่ม ขณะที่ยอดส่งออกปูนซีเมนต์จะทรงตัว อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวจะถูกหักล้างจากราคาขายปูนซีเมนต์ทั้งในและนอกประเทศที่ลดลงประมาณ 9.0% เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น
ธุรกิจกระดาษ คาดว่าจะมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมฯ ไตรมาส 4/52 ที่ 2,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 5.8% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้ว และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น