บล.นครหลวง คาดดัชนีตลาดหุ้น ก.พ.มีโอกาสหลุด 670 จุดจากปัจจัยการเมือง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 27, 2010 13:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.นครหลวงไทย กล่าวในงานสัมมนา"เกาะติดวิกฤติเศรษฐกิจ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นปี 53"ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน ก.พ.53 คาดว่าจะอยู่ในขาลง และอาจจะเห็นการปรับลดลงของดัชนีหลุดต่ำกว่า 670 จุด เนื่องจากความกังวลในเรื่องการเมืองในประเทศที่ร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมีขึ้นก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดความผันผวน

นอกจากนี้ ยังมาจากปัจจัยภายนอก หลังจากที่รัฐบาลจีนออกมาตรการเพิ่มสำรองของธนาคารพาณิชย์ เช่นเดียวกับรัฐบาลของสหรัฐที่ออกมาตรการคุมเข้มการทำธุรกิจของสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้สภาพคล่องลดลง และจะเป็นผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย

และหากปัจจัยการเมืองในประเทศ ยังมีความเลวร้ายต่อเนื่อง อาจกดดันต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย ลดลงเลวร้ายสุดมาอยู่ที่ 540 จุด ได้ แต่คาดว่าจะกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี 53 เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติที่ระดับ 880 จุด หรือ มีกรอบดัชนีปี 53 ที่ 540-880 จุด

อย่างไรก็ตาม นายสุกิจ กล่าวว่า แม้ในช่วงเดือน ก.พ.จะคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับลดลง แต่ก็เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทยอยสะสมหุ้นปันผลสูง เช่น บมจ.ค้าเหล็กไทย(TMT) บมจ.ถิรไทย(TRT) บมจ.พลาสติคและหีบห่อไทย(TPAC) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท(PS) บมจ.ศุภาลัย(SPALI) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลมากกว่า 5% เป็นส่วนใหญ่

"การลงทุนในช่วงเดือน ก.พ. เรามองว่ามีแนวโน้มที่ผันผวนสูง และอาจจะเห็นการปรับตัวลดลงในบางช่วง ซึ่งผลการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางในช่วงที่เหลือของไตรมาส 1 นี้ ดังนั้น การลงทุนช่วงดังกล่าว ควรจะรอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง และลงทุนในหุ้นที่มีปันผลดี" นายสุกิจ กล่าว

นายสุกิจ กล่าวอีกว่า ประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตามในปี 53 คือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินการคลัง รวมถึงการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของรัฐบาลแต่ละประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีความแตกต่างทั้งในด้านระยะเวลาในการเริ่มเปลี่ยนนโยบาย และระดับความเข้มงวดของนโยบาย แต่ประเมินว่าทุกประเทศมีเป้าหมายเดียวกันในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและราคาสินทรัพย์ไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ทั้งนี้ คาดว่าอินเดียและจีนจะเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนด้วย ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยมองว่าจะขยายตัวสูงสุดในช่วงไตรมาส 1/53 และจะปรับลดลง แต่ยังขยายตัวได้เฉลี่ย 2-3% จากเดิมที่คาดว่าขยายตัว 2-4% จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวมากขึ้น การลงทุนภาครัฐในโครงการไทยเข้มแข็ง การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก

ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากปัจจัยในประเทศที่เป็นปัญหาการเมืองที่ต้องติดตามและ ยังมีกรณีปัญหามาบตาพุด ที่ส่งผลต่อความผันผวนต่อตลาดหุ้นไทย แม้ท้ายที่สุด รัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้ในที่สุด

ขณะที่อาจต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอีกครั้ง และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจทั้งในเรื่องของเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นของดอกเบี้ย ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 3/53 แต่สหรัฐอาจไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น ส่วนยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ช่วง 2-3 ปี และค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า

ขณะที่ บล.บัวหลวง(BLS) ประเมินผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 53 อยู่ที่ 15% ลดลงจากปี 52 ที่มีผลตอบแทน 50% ขณะที่มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1/53 มีความผันผวนสูงมาก จากปัจจัยดังกล่าวแล้ว แนวโน้มดอลลาร์อาจจะแข็งค่าขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจกรรม dollar carry trade และยังคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนและมีโอกาสปรับลดลงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 2-3/53 เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงชะลอตัว จากมาตรการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนและยุโรป ที่มีปัญหาหนี้สาธารณะ รวมถึงความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อทั่วโลก แต่ในไตรมาส 4/53 จะเห็นดัชนีตลาดหุ้นไทย ทำสถิติสูงสุด จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่เข้ามาลงทุนในเอเซียและตลาดหุ้นไทย

ภาพรวมหุ้นที่กลุ่มให้น้ำหนักการลงทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ กลุ่มน้ำมัน ถ่านหิน เนื่องจากการปรับเพิ่มการขยายผลิตภัณฑ์และได้รับประโยชน์จากราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้รับแรงหนุนจากโครงการไทยเข้มแข็ง กลุ่มค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น กลุ่มโรงพยาบาล การระบาดของโรคไข้หวัด 2009 จะส่งผลให้ผลดำเนินงานดีขึ้น กลุ่มสื่อสาร การลงทุน ในโครงการ 3 จี และกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ