นายชนะ สุทธิหวังเจริญ กรรมการ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"โดยแสดงความมั่นใจว่าในปี 53 กำไรของบริษัทจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากปี 52 ทำกำไรทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้ว เนื่องจากคาดว่าปีนี้ยอดขายจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจและรายได้เกษตรกรที่สูงขึ้น ขณเดียวกันก็มีการเพิ่มกำลังการผลิตด้วย ดังนั้น หากเป็นไปตามคาดการณ์ในปีนี้ก็น่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปี 52 ด้วย
"กำไรปี 52 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดบริษัทมา 20 ปี และปี 53 กำไรก็น่าจะสูงกว่าปี 52 แน่"นายชนะ กล่าว
อนึ่ง DCC แจ้งผลประกอบการปี 52 มีกำไร 996.25 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 51 ที่มีกำไร 664.32 ล้านบาท
นายชนะ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 53 เติบโต 15% จากปี 52 ที่มียอดขาย 5,884 ล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าปีก่อน ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองกดดันอยู่บ้าง แต่ก็มีผลไม่มากนัก
"ปัญหาเรื่องการเมืองอาจจะมีผลนิดหน่อย ถึงแม้สินค้าเป็นสินค้าทั่วไปจะไม่เกี่ยวกับการเมืองก็มีผลไปเกี่ยวกับการลงทุน การก่อสร้าง แต่ถ้าการเมืองสงบ การขายก็น่าจะดีขึ้นมาก โดยเฉพาะยอดขายใน กทม. ขณะที่ต่างจังหวัดได้อานิสงส์กองทุนหมู่บ้าน ราคาพืชผลเกษตร ไทยเข้มแข็งปีที่แล้วยังไม่มีเกิดขึ้น แต่ปีนี้เกิดขึ้นแล้ว"นายชนะ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องอีก 6 ล้านตารางเมตร/ปีในปีนี้ โดยทยอยปรับเพิ่มในช่วงไตรมาส 1/53 ประมาณ 3 ล้าน ตร.ม./ปี และไตรมาส 2/53 เพิ่มเข้ามาอีก 3 ล้าน ตร.ม./ปี เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ไตรมาส 2/53 เป็นต้นไปกำลังการผลิตก็จะเพิ่มเป็นเฉลี่ย 54 ล้าน ตร.ม./ปี จากปี 52 ที่อยู่ที่ 48 ล้าน ตร.ม./ปี
และ ล่าสุดมติคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ยังอนุมัติลงทุนขยายกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิคของโรงงานไทล์ท้อป อินดัสตรี้ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย วงเงิน 180 ล้านบาท จะมีผลให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 270,000 ตร.ม.หรือ 4 ล้าน ตร.ม./ปี ในช่วงต้นปี 54 เป็นกำลังผลิตรวม 58 ล้าน ตร.ม./ปี
นายชนะ กล่าวว่า กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง แม้จะมีปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันและราคาแก๊สที่ผันผวน และอาจมีผลต่ออัตรากำไรขั้นต้น แต่คงไม่ใช่เรื่องที่สร้างความกังวลมากนักในปีนี้ เพราะกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยทำให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ในปี 53 จะสูงขึ้นต่อเนื่องจาก 42% ในปี 52 และ 38% ในปี 51
"อัตรากำไรขั้นต้น ถ้าผลิตเต็มกำลังการผลิตและขายได้หมดก็จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้น ปี 53 น่าจะดีกว่าปี 52 ถึงแม้ราคาแก๊สกับน้ำมันจะมีผลบ้าง แต่ถ้าปรับขึ้นก็คงจะไม่ฉุดมาก เพราะเรามีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 6 ล้าน ตร.ม.ต่อปี ช่วยเฉลี่ย แต่ถ้าน้ำมันบวกแก๊สไม่ได้ขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเราก็จะพุ่งขึ้นไปอีก"นายชนะ กล่าว
นายชนะ เชื่อว่า ตลาดกระเบื้องในปีนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าตลาดรวมน่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีปัญหาหลายด้านแต่ตลาดรวมยังเติบโตได้แม้ว่าจะไม่ถึง 10% ก็ตาม ขณะที่ DCC ในปี 52 ก็ทำยอดขายเติบโตกว่า 10% มากกว่าภาพรวมอยู่แล้ว
"ปี 52 ตลาดรวมโตไม่ถึง 10% แต่ปี 53 ตลาดดีกว่าปี 52 ส่วนจะถึง 10% หรือไม่ ไม่แน่ใจ"นายชนะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น แต่บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับขึ้นราคาขายสินค้าในขณะนี้ และมองว่าในปีนี้โอกาสปรับขึ้นราคาคงยังทำได้ยาก เพราะคู่แข่งเองก็ยังใช้กำลังการผลิตกันไม่เต็มที่ ยกเว้นว่าหากตลาดมีความต้องการสินค้า(ดีมานด์)สูงกว่าคาดการณ์มาก
งบริษัทก็จะยังคงเน้นการผลิตสินค้ากระเบื้องเป็นหลักต่อไป เพื่อรักษาตำแหน่งที่บริษัทครองส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)เป็นอันดับ 1 และมองว่าการขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่จะต้องให้น้ำหนักมากกว่า เพราะตลาดยังน่าจะมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยในปีนี้มีแผนเปิดช่องทางการจำหน่ายในลักษณะ outlet เพิ่มอีก 5-10 แห่ง เน้นในต่างจังหวัด
ส่วนการขยายตลาดต่างประเทศเราทำได้ในขอบเขต แถบภูมิภาคเอเชียเป็นหหลัก โดยเฉพาะแถบอินโดจีน ส่วนแอฟริกาและตะวันออกกลาง หรือทวีปอื่น ๆ ก็มีบ้าง แต่ยังค่อนข้างน้อย ยอดส่งออกคิดเป็น 2-3% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ยอดขายในประเทศมีสัดส่วน 96-97% เนื่องจากการขายในประเทศมีอัตรากำไรสูงกว่า ขณะที่ต่างประเทศแข่งขันสูงและบริษัทเสียเปรียบคู่แข่ง
"ต่างประเทศเป็นตลาดที่เราไม่ได้ตั้งเป้าเพิ่มการขาย เพราะกำไรน้อย แค่รักษาฐานลูกค้าไว้ แต่ตลาดต่างประเทศก็โตขึ้น แต่เป้าหมายหลักเป็นในประเทศ"นายชนะ กล่าว