บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC)คาดกำไรปี 53 สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไร 2.44 หมื่นล้านบาท เนื่องจากธุรกิจทั้งปูนซิเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง จะเติบโตราว 5-10% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีที่เคยมีความกังวลว่าอาจจะเข้าสู่ช่วงขาลง แต่ก็คาดว่ายอดขายก็ยังน่าจะเติบโตได้ถึง 10% หลังจากเห็นแนวโน้มราคาปิโตรเคมียังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนั้น บริษัทได้มีการลดต้นทุนการผลิต และต้นทุนด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือ SCC กล่าวว่า กำลังการผลิตปิโตรเคมีในตลาดโลกที่เคยคาดว่าจะเพิ่มเข้ามาอีก 11-12 ล้านตัน แต่ปรากฎว่าขณะนี้มีเข้ามาเพียง 6 ล้านตัน เนื่องจากผู้ผลิตยังมีปัญหาด้านการก่อสร้าง ทำให้กำลังการผลิตใหม่ล่าช้ากว่าแผน ประกอบกับมีผู้ผลิตในยุโรป และอเมริกา ที่ประสบปัญหาและปิดกิจการไป ทำให้กำลังการผลิตปิโตรเคมีหายไป 5 ล้านตัน
ดังนั้น จึงเชื่อว่าปีนี้ราคาปิโตรเคมียังคงรักษาระดับราคาและมาร์จิ้นที่ดี โดยในช่วงต้นปี 53 มาร์จิ้นปิโตรเคมียังสูงกว่าช่วงไตรมาส 4/52 ที่มีมาร์จิ้นอยู่ที่ 530 ดอลลาร์/ตัน ปัจจุบัน มาร์จิ้นที่ 580 ดอลลาร์/ตันเป็นระดับที่ดีมาก
สำหรับธุรกิจปูนซิเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง เชื่อว่าจะเติบโตในระดับ 5-10% เช่นเดียวกัน เนื่องจากในธุรกิจกระดาษมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาจากโรงกระดาษขอนแก่นและเวียดนาม ส่วนซิเมนต์คาดว่าจะมีการปรับราคาที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/53 ซึ่งเป็นฤดูกาลขายที่ดีอยู่แล้ว และปีนี้หากมีความชัดเจนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสีน้ำเงิน เชื่อว่าจะมีการใช้ซิเมนต์ที่สูงขึ้นอีกมาก
นายกานต์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน โดยเงินลงทุน 50% หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท ใช้ลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมี ส่วนอีก 5-6 พันล้านบาทใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักร และ 3-4 พันล้านบาท ใช้ลงทุนเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน
ส่วนโครงการลงทุนในมาบตาพุดที่ศาลปกครองยกคำร้องอุทธรณ์ 30 โครงการ เป็นโครงการของเครือปูนซีเมนต์ไทย ที่ดำเนินการร่วมกับพันธมิตร 11 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าจะใช้เวลาแก้ปัญหา 8-12 เดือน โดยมี 4-5 โครงการที่จะรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 53 และในปี 54 แต่ทางบริษัทยังไม่มีการประเมินตัวเลขรายได้จากโครงการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เครือซิเมนต์ไทยยังคงลงทุนต่อเนื่อง เพื่อต้องการเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน โดยอยู่ระหว่างการศึกษา M&A โดยการเข้าร่วมทุนทั้งด้านปิโตรเคมี กระดาษ วัสดุก่อสร้าง ซึ่งแต่ละโครงการจะใช้เงินลงทุนหลักพันล้านบาท โดยในไตรมาส 1/53 น่าจะมีความชัดเจนอย่างน้อย 1 โครงการ จากช่วงปลายปี 52 ที่สามารถสรุปโครงการ M&A ได้แล้ว 1 แห่ง เป็นโรงงานผลิตกล่องกระดาษในประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ ในปี 53 บริษัทมีแผนออกหุ้น 2 ชุด โดยในเดือน เม.ย.จะออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี คาดว่าจะประกาศผลตอบแทนได้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.53 และหุ้นกู้อีกชุด วงเงิน 5 พันล้านบาทเพื่อชดเชยหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนต.ค.
"การออกหุ้นกู้เชื่อว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ย แม้ว่าจะมีความไม่มั่นใจจากกรณีมาบตาพุด" นายกานต์ กล่าว