นายวีระ ศรีธนะชัยโชติ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ปริญสิริ (PRIN) เปิดเผยว่า ในปี 53 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 52 ที่คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 400 ล้านบาทเมื่อเทียบปี 51 ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 280 กว่าล้านบาท เนื่องจากการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจและการบริหารต้นทุน อีกทั้งยังมีโครงการคอนโดมีเนียมที่ทยอยเข้ามาต่อเนื่องจากที่มีปัญหาความล้าช้าในการโอนคอนโดฯ ในย่านพหลโยธินและนราธิวาสในปีก่อน และยังมีโครงการที่รอขายอยู่จำนวน 15 โครงการ มูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท ที่จะทยอยเข้ามา
และจากกำไรในปี 52 ที่ดีนั้น น่าจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการจ่ายปันผลงวดปี 52 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ แต่อัตราการจ่ายคงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัทที่จะประชุมในวันที่ 8 ก.พ.53
สำหรับรายได้ในปี 53 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากการปรับแผนงานในทุกด้าน ทั้งการปรับภาพลักษณ์และการพัฒนาสินค้าให้ในแต่ละแบรนด์มีความชัดเจนขึ้นเพื่อให้เข้ากลุ่ม เป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละแบรนด์
"ปี 53 จะเป็นปีที่จะเริ่มตื่นตัวก้าวสู่การเติบโตให้เร็วอีกครั้ง ช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ต้นปีมีการปรับปรุงองค์กรและระบบการเงิน จึงเห็นว่าบริษัทเราบริหารด้วยความระมัดระวังและยังไม่ขยายโครงการจนถึงช่วงปลายปีจึงเริ่มที่จะนำโครงการเก่าออกมาเปิดการขายและการซื้อที่ดินแปลงใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาและเปิดโครงการใหม่ช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเพราะเราเห็นว่าสถานการณ์เราเริ่มดีขึ้น ที่ดินที่เรามีบางแปลงก็ขายออกไปบ้างเพื่อทำให้เรามีเงิน และอย่างที่พัทยาที่เราขายที่ดินไปก็จะเข้ามาในช่วงไตรมาส 2 นี้แต่ก็ไม่ได้มากจนมีนัยประมาณ 95 ล้านบาท จึงทำให้ตอนนี้เราไม่ NEED เงินมากเพราะ D/E เราไม่ถึง 1 เท่า Cash Flow ก็มี 1,000 กว่าล้านบาท" นายวีระ กล่าว
อย่างไรก็ตามการพัฒนาโครงการในปี 53 คาดว่าจะเห็นการพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียม " Smart Condo วัชรพล" ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ที่นอกเหนือจากแผนที่วางไว้ในครึ่งแรกปีนี้ที่จะเปิด 7 โครงการ เนื่องจากมีที่ดินอยู่แล้ว โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะเห็นในช่วงเดือนมี. ค.53 โดยจะพัฒนาเพื่อมาแข่งขันกับตลาดอพาร์เม้นท์ในย่านนั้น แม้จะมีกำไรไม่มากแต่ขณะเดียวกันก็จะได้ประโยชน์ภาษีเพราะเป็นโครงการ BOI ซึ่ง Smart Condo วัชรพลมีมูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านบาท และในการพัฒนาโครงการดังกล่าวจะทยอยขายทีละเฟสจากจำนวน 4 เฟสเพื่อดูผลตอบรับ และยังเป็นการวางแผนไว้รองรับการปรับเปลี่ยนแผนในอนาคต ซึ่งหากไม่น่าพอใจอาจปรับมาพัฒนาเป็นเทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งบริษัทมีความถนัดแนวราบอยู่แล้ว
โดยการเปิดโครงการในปี 53 กลยุทธ์ของปีนี้ยังคงมุ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาโครงการแนวราบ ที่มีขนาดกลาง ประมาณ 80 % และเป็นแนวสูงประมาณ 20% โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 7,000-10,000 ล้านบาท ทั้งจากแลนด์แบงค์เดิมที่มีอยู่ และมีเป้าหมายจะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 5-7 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการในช่วงปลายปี ไปจนถึงปี 54 แต่ครึ่งปีแรกจะเห็นเปิดตัว 7 โครงการ
ส่วนแผนการหาผู้ร่วมทุนนั้นบริษัทเปิดกว้าง โดยในช่วงที่ผ่านมามีคนสนใจที่จะเข้ามาเป็นพัธมิตรซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรในต่างประเทศแถบเอเซีย จำนวน 5-6 ราย เพื่อเข้ามาถือหุ้นของ บริษัท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทไม่ได้เร่งรีบเพราะต้องการพิจารณาให้รอบคอบถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับโดยเฉพาะด้าน know how และเงินทุน นอกจากนี้ปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน อีกทั้งราคาหุ้นก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 3 บาท ดังนั้นคงเจรจาไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ