นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) คาดว่าปี 53 บริษัทจะมีรายได้เติบโต 50% จากปี 52 ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาลงทุน โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่ต้นปีจากการที่บริษัทเตรียมเซ็นสัญญาในการซื้อที่ดินจำนวน 400 ไร่ ไตรมาส 1/53 ซึ่งเป็นทั้งลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ ในธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์ โลจิสติกส์ ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ ธุกิจ Non Chamecial
โดยการเซ็นสัญญาที่ดินดังกล่าวจะทยอยบันทึกเป็นรายได้ในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้จากการขายสาธารณูปโภคและจากโครงการ เดอะพาร์ค ชิดลม ที่ปีนี้จะรับรู้รายได้ในสัดส่วนที่มากขึ้นจากปีก่อน
อย่างไรก็ตามจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวบริษัทคาดว่าจะมียอดขายที่ดิน 800 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่คาดว่าจะมียอดขาย 147 ไร่ ขณะเดียวกัน เชื่อว่ากำไรในปี 53 จะเติบโตได้เช่นกัน
"ตอนนี้สัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจเริ่มกลับมา คนเริ่มลงทุนและเลือกประเทศที่น่าลงทุน ซึ่งหากไทยมีการส่งเสริมที่ดีก็น่าจะดีต่อผู้ปรกอบการและประเทศ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบด้านอินฟาสตรัคเจอร์" นายเดวิดกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการประชุมบอร์ดในเดือนเม.ย. 53 เพื่อพิจารณาการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับงวดปี 52 โดยนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัท ไม่ต่ำกว่า 50 % ของกำไรสุทธิ
นายนาร์โดน กล่าวว่า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ บริษัทได้เตรียมเงินลงทุน 3 พันล้านบาทในปี 53 แบ่งเป็นสัดส่วน 50% ลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะเริ่มลงทุนในปี 54 โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน IPP กำลังผลิต 660 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 35% โดยได้ลงทุนไปประมาณ 4.3 พันล้านบาทและจะก่อสร้างเสร็จและเดินเครื่องผลิตในปี 55
ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง คาดว่าใช้ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและบางส่วนสำรองการลงทุนในอนาคต
ทั้งนี้ในปี 53 บริษัทให้น้ำหนักการลงทุนในพลังงานมากขึ้น ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เรืองเร่งรีบ เนื่องจากบริษัทยังมีโครงการเดอะพาร์ค ที่ยังทยอยรับรู้รายได้ และที่ผ่านมาบริษัทลงทุนด้านพลังงานจำนวนมากจึงต้องการให้ความสำคัญก่อน
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 53 มาจากการขายที่ดิน 30% รายได้จากสาธารณูปโภค 40% และรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะพาร์ค ชิดลม 30% จากปี 52 ที่มีรายได้จากการขายที่ดิน 40% รายได้จากสาธารณูปโภค 40% และ รับรู้โครงการเดอะพาร์ค 20%
โดยโครงการเดอะพาร์ค ณิสิ้นปี 52 มียอดรับรู้รายได้แล้ว 85%ของโครงการ ปัจจุบันเหลือ 15% และมีการปรับราคาขายเป็น 1.5-2 แสนบาท/ตน.ม. จากเดิมที่ 1 แสนบาท/ตร.ม.
ส่วนกรณีปัญหาในมาบตาพุด นายนาร์โดน เชื่อว่าไม่มีผลกรทบมากและสามารถแก้ไขได้ในที่สุด ซึ่งโดยส่วนตัวมองงว่าไทยได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม แต่เห็นว่า ภาษีนิติบุคคลควรลดลงจากปัจจุบันที่ 30 % ขณะเดียวกันรัฐบาลควรลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพื่อประโยชน์ในระยะยาว