โบรกฯหนุน"ซื้อ" MAJOR คาดปี 53 หนังฟอร์มยักษ์ทำเงินสูงเกินคาดดันกำไรโต

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 29, 2010 10:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนิเพล็กซ์ กรุ๊ป(MAJOR)คาดเห็นกำไรไตรมาส 4/52 เติบโตมากจากรายได้จากหนังที่ทำเงินได้เกิน 100 ล้านบาทหลายเรื่อง และยังมีเข้าฉายต่อเนื่องมาในไตรมาส 1/53 โดยเฉพาะหนังฟอร์มยักษ์"อวตาร"ที่ทุบสถิติยอดรายได้ในระดับโลกไปแล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าปี 53 กำไร MAJOR ฟื้นตัวตามรายได้ที่ดีขึ้น แม้จะยังไม่ดีเทียบเท่าในปี 51 รวมทั้งยังจะมีกำไรจากการโอนพื้นที่เช่าโครงการเมเจอร์อเวนิว รัชโยธิน เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท จากนั้นในปี 54 รายได้และกำไรจะดีขึ้นจากกาะรับรู้รายได้จากโครงการเมกะบางนาของ SF ที่บริษัทถือหุ้น 24% ขณะเดียวกันการลดสัดส่วนหุ้นใน CAWOW ทำให้ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนต่อไป

อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ภาวะตลาดรวมเป็นขาลงให้หาจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว

          โบรกเกอร์        คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.บัวหลวง         ซื้อ            12.00
          บล.กิมเอ็ง          ทยอยสะสม      11.80
          บล.เอเซียพลัส       ซื้อ            11.50

สถาบันนครหลวงไทย ซื้อเก็งกำไร 11.50

          บล.ฟิลลิป           ซื้อ            11.20
          บล.ฟินันเซียไซรัส     ซื้อ            10.30

น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า MAJOR ในปี 53 มีแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไร จากปีที่แล้วบริษัทได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะในครึ่งปีแรก แต่ในไตรมาส 3/52 เริ่มดีขึ้น และในไตรมาส 4/52 คาดว่ากำไรจะดีขึ้นมาก จากหนังที่สามารถทำรายได้สูงเกิน 100 ล้านบาทหลายเรื่อง ได้แก่ เรื่อง 2012 ทำรายได้ 211 ล้านบาท, รถไฟฟ้ามาหานะเธอ 145 ล้านบาท, Avatar 140 ล้านบาท(เฉพาะรายได้จนถึงสิ้นปี) นอกจากนั้น ยังได้มีการปรับขึ้นราคาตั๋วหนัง และรายได้จากโฆษณาก็ดีขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง

ผลประกอบการไตรมาส 4/52 เริ่มดีขึ้น โดยคาดว่าเทียบกับปีก่อนในไตรมาสเดียวกันของปี 51 จะเติบโตกว่า 200% หรือมีกำไรสุทธิ 138 ล้านบาท จาก 43 ล้านบาทในไตรมาส 4/51 และปี 53 มองว่าค่อยๆฟื้นตัวจากหนังฟอร์มใหญ่ที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง ค่าตั๋วก็ปรับขึ้นมาแล้ว

นอกจากนี้ MAJOR ได้ปรับสัดส่วนการถือหุ้น บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์(CAWOW)จาก 37% เหลือ 19% เมื่อ พ.ย.52 ทำให้ปี 53 บริษัทไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ CAWOW อีกต่อไป แต่จะไปบันทึกเป็นส่วนของเงินลงทุนในงบดุล

ฉะนั้น ผลประกอบการของบริษัทในปี 53 จะเริ่มฟื้นตัวแต่อาจจะไม่ดีมากเท่ากับปี 51 คาดว่าปี 53 จะมีกำไร 449 ล้านบาท จากปีที่แล้วคาดมีกำไร 301 ล้านบาท หรือเติบโต 49%

"ปีนี้มองว่าเป็นลักษณะของการฟื้นตัวมากกว่า เพราะปีที่แล้วค่อนข้างแย่ จะโตไม่เท่ากับปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 626 ล้าน ...การเข้าซื้ออาจจะต้องรอดูตลาดรวมด้วย ถ้าภาวะตลาดแย่ ก็น่าจะรอราคาอ่อนตัวก่ว่านี้ ไม่ต้องซื้อตามทันที" น.ส.สุทธาทิพย์ กล่าว

ด้านนายกวี มานิตสุภวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส คาดว่า กำไรปี 53 ของ MAJOR ฟื้นตัวจากปี 52 โดยในไตรมาส 1/53 คาดว่ากำไรจะดีกว่าไตรมาส 1/52 แต่จะอ่อนตัวกว่าไตรมาส 4/52 เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ไตรมาส 1/53 ยังมีหนังฟอร์มยักษ์ที่ฉายต่อเนื่องจากปลายปีก่อน เช่น อวตาร และในไตรมาสที่เหลือก็ยังมีหนังฟอร์มยักษ์ เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 3 ,องค์บาก 3 และ แฮรี่พอตเตอร์ภาคใหม่

ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรสุทธิในปี 53 จะเติบโตจากปี 52 เกิน 50% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 20% ในปี 54 จากบริษัทร่วม คือ SF ที่จะรับรู้รายได้โครงการขนาดยักษ์ที่ร่วมทุนกับ IKEA ที่บางนา

นอกจากนี้ MAJOR มีแผนที่จะนำโครงการรัชโยธินอเวนิว ซึ่งเป็นโครงการพื้นที่เช่าที่ร่วมทุนกับ SF มาขายเข้ากองทุนเมเจอร์พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ภายในปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะมีมูลค่าราว 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ MAJOR สามารถรับรู้กำไรพิเศษเข้ามาเพิ่มเติมอีก จึงได้ปรับคำนแนะนำจาก"ถือ"มาเป็น"ซื้อ"

"ตัวนี้ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดด้วย ถ้าตลาดเอื้ออำนวยก็น่าซื้อ...result ปีนี้ดีขึ้นจากจุดต่ำสุด(ในปี 52) แต่เป็นช่วงฟื้นตัว จะเห็นไตรมาส 4/52 เป็นไตรมาสที่ turnaround ชัดเจน ถ้าดูจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นก็น่าเล่น แต่ถามว่าราคาจะขึ้นไหมก็ต้องขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดด้วย"นายกวี กล่าว

บทวิเคราะห์ของ บล.บัวหลวง ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 52-53 เพิ่มขึ้นอีก 25% และ 10% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนรายได้ของยอดจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ทีเพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง

ทั้งนี้ คาดว่า ในไตรมาส 4/52 ยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ของ MAJOR มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 29% YoY และ 19% QoQ ซึ่งถือว่าสร้างสถิติใหม่สูงสุด เนื่องจากมีรายได้จากภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ทำเงินเกิน 100 ล้านบาทในแต่ละเรื่อง คือ เรื่อง 2012, อวตาร และ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ

นอกจากนี้ ราคาค่าบัตรชมภาพยนตร์เฉลี่ยยังปรับเพิ่มขึ้นอีก 5% เนื่องจากกลยุทธ์การตั้งราคาตั๋วให้แตกต่างกัน อีกทั้งมีการขึ้นราคาตั๋วสำหรับภาพยนตร์ที่มีชั่วโมงฉายยาว รวมถึงการฉายภาพยนตร์"อวตาร"บนจอหนังแบบ 3 มิติ และไอแมกซ์ 3 มิติที่มีราคาแพงขึ้น โดยรวมแล้วเราประเมินว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/52 จะอยู่ที่ 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231% YoY และ 4% QoQ

สำหรับในไตรมาส 1/53 คาดว่ายอดขายบัตรชมภาพยนต์ ยังคงเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าตั่วบัตรชมภาพยนตร์และหนังดีที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง ได้แก่ 32 ธันวาคม (100 ล้านบาทจนถึงปัจจุบัน) การรับรู้รายได้ส่วนที่เหลือของ"อวตาร"และยังมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายต่อเนื่องในไตรมาส 2/53-ไตรมาส 3/53

รวมทั้ง คาดว่า MAJOR จะรับรู้กำไรบางส่วนจากการขายพื้นที่เช่าที่เมเจอร์อเวนิว รัชโยธินเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ Major Lifestyle Property Fund(MJLF)ในช่วงไตรมาส 3/53 ซึ่งเงินที่ได้รับจากการขายเข้ากองทุนจะใส่เข้าไปในโครงการเมกะบางนาของ SF(ศูนย์อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน) ซึ่งเป็นโครงการใหญ่มูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 54 และจะส่งผลให้ MAJOR เริ่มรับรู้กำไรจากโครงการนี้ตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นไป (MAJOR ถือหุ้นอยู่ 24%ใน SF)


แท็ก เมเจอร์   (MAJOR)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ