บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง(NCH)ตั้งเป้าปี 53 รายได้เติบโต 20% จากปีก่อนคาดทำได้ 1,630 ล้านบาท โดยประมาณการยอดขายอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 3 โครงการ และยังมีโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
บริษัทมองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อนทั้งแง่ของการขายและการปล่อยสินเชื่อ คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากมีแรงกดดันจากปริมาณที่อยู่อ่าศัยระดับล่างที่จะมีจำนวนมากในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปีของที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ยกเว้นโครงการเปิดตัวใหม่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งมีต้นทุนราคาที่ดินแพงขึ้น
ในปีนี้ NCH จะเน้นการทำตลาดในกลุ่มครอบครัวและคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการเจาะกลุ่มเป้าหมายตามประเภทแหล่งที่อยู่อาศัยและกลุ่มอาชีพ และมีไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ถือเป็นการทำการตลาดแบบเชิงรุกและเข้าตรงถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยจะเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในกลุ่มราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทเป็น 70% กลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีระดับราคามากกว่า 7 ล้านบาทขึ้นไปในสัดส่วน 20% และ ที่เหลือ 10% เป็นทาวน์เฮ้าส์
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ NCH กล่าวว่า ในช่วงเดือนมี.ค. 53 จะเปิดโครงการ 1 โครงการในพัทยา โดยเป็นโครงการบ้านแฝด 100 ยูนิต บนพื้นที่ 14 ไร่ เป็นที่ดินซื้อใหม่ ทั้งนี้มูลค่าโครงการ 200-300 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวอยู่ในแผนเปิดโครงการในปีนี้ 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.3-1.5 พันล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการที่เหลือขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหาที่ดิน
ส่วนที่ดินที่มีอยู่แล้วที่พัทยา จำนวนกว่า 19 ไร่ บริษัทจะพิจารณาขายหากมีโอกาสและได้ราคาที่ดี หรืออาจจะนำมาพัฒนาโครงการในอนาคตเนื่องจากที่ดินดังกล่าวอยู่ติดริมชายหาดต้องพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมอย่างเดียว แต่ปัจจุบันคอนโดมิเนียมไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และบริษัทก็มีความถนัดในการพัฒนาโครงการแนวราบมากกว่า และที่ผ่านมายังไม่เคยพัฒนาแนวสูง
ทั้งนี้ในปี 53 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรต่อเนื่องจากปี 52 ที่เชื่อว่าจะเห็นกำไรหลังจากปี 50-51 บริษัทขาดทุนสุทธิ เนื่องจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงประโยชน์จากภาษีอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามการจ่ายปันผลจะสามารถจ่ายได้ในงวดปี 52 หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการที่บริษัทจะมีการประชุมในช่วงปลายเดือนก.พ. นี้
นายสมเชาว์ กล่าวต่อว่า ในปี 53 ปัจจัยเสี่ยงที่ยังส่งผลกระทบนอกจากปัจจัยการเมืองแล้วยังมีปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และบริษัทคาดว่าจะส่งผลต่อการปรับเพิ่มราคาขายบ้านของบริษัท 5-10% ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้เพื่อรองรับต้นทุน
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีมูลค่างานคงค้างจำนวน 3 พันกว่าล้านบาท จาก 8 โครงการ ที่จะทยอยปิดยอดขายแต่ละโครงการได้ ซึ่งในปี 53 สามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท
"จากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้ยอดขายบ้านปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ที่ผ่านมา และโตขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส1/53 เชื่อว่าจะโต 20-30% เทียบกับไตรมาส 1/52 ที่มียอดขาย 100 กว่าล้านบาท เพราะทุกคนไม่รู้ว่าภาครัฐจะเอาอย่างไรเรื่องภาษีทำให้ลูกค้าเร่งซื้อ เร่งโอนเพื่อรับประโยชน์ทางภาษี และอยากให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยภาคอสังหาฯอีกไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม"นายสมเชาว์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ในปี 53 บริษัทจะหันมาเพิ่มความสำคัญในการขายบ้านเดี่ยวระดับราคา 4 ล้านบาท หรือจับกลุ่มผู้ซื้อระดับกลางมากขึ้นเนื่องจากดีมานส์ในกลุ่มดังกล่าวยังมีค่อนขางสูงเมื่อเทียบกับระดับไฮเอนด์ ที่ราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งราคาขายบ้านเดี่ยวดังกล่าวจะมีการปรับพื้นที่ลดลงเหลือ 160-170 ตารางเมตรจากเดิม 200 ตารางเมตร