นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ผลิตไฟฟ้า(EGCO)คาดว่ากำไรในปี 52 จะออกมาดีกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะใกล้เคียง 6.9 พันล้านบาท เป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถลดต้นทุนการบริหารและค่าใช้จ่ายได้มากกว่าแผน
สำหรับปี 53 บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรจะลดลงจากปี 52 เนื่องจากการรายได้จากการขายไฟฟ้าแทบทุกโครงการลดลงตามสัญญา โดยในแง่ของรายได้คาดว่าจะลดลงประมาณ 10% รายได้หลักยังมาจากโรงไฟฟ้า BLCP, แก่งคอย 2 และเควซอน ส่วนโรงไฟฟ้าระยองและขนอมจะมีรายได้ลดลง
ขณะที่รายได้จากน้ำเทิน 2 จะเข้ามาในไตรมาส 1/53 ซึ่งปีแรกจะรับรู้รายได้ราว 300-400 ล้านบาท ปีหน้ารับรู้ฯ เพิ่มเป็น 500 ล้านบาท คิดตามสัดส่วนถือหุ้น 25%
นายวินิจ กล่าวว่า โครงการน้ำเทิน 2 แม้ว่าจะเลื่อนจากแผนไปเป็นเดือนมี.ค.53 จากเดิมกำหนดไว้ ธ.ค.52 แต่ก็จะไม่มีผลกระทบมากต่อผลประกอบการไตรมาส 1/53 เนื่องจากบริษัทได้รับค่าปรับจากผู้รับเหมาเข้ามาชดเชย
"ปีนี้ทุกโครงการจะลดลง และรายได้ในช่วง 5 ปีนี้ก็จะทยอยลดลงตามโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ คิดว่าในช่วง 5 ปีกำไรจะอยู่ในระดับ 5 พันล้านบาท"นายวินิจ กล่าว
อนึ่ง EGCO ถือหุ้น 50% ใน BLCP , ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าขนอม 100% และ ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าระยอง 100% ส่วนโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 EGCO ถือหุ้น 25%, ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าเควซอน 26% และ ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าแก่งคอย 50%
นายวินิจ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ประมาณ 4-7 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้เข้าร่วมทุนในโรงไฟฟ้าต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจากับโรงไฟฟ้าในอินโดนีเซีย 2 แห่ง และฟิลิปปินส์ 1 แห่ง เป็นโรงไฟฟ้าขนาดกลาง กำลังการผลิต 500-1 พันเมกะวัตต์ โดยบริษัทคาดว่าจะเข้าร่วมทุนในสัดส่วน 25-30% หวังว่าจะได้ข้อสรุปก่อน เม.ย.นี้
ส่วนในประเทศจะลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 50 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ใน จ.นครราชสีมา และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ขนาด 50 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจ.ลพบุรี
"เราใช้โอกาสนี้เข้าไปขยายตัวในต่างประเทศเพื่อที่จะทำให้บริษัทจะได้มีการเจริญเติบโต หลังจากที่ในประเทศไม่มีการขยายโครงการขนาดใหญ่ แต่ในประเทศเราก็ยังเน้นขยายพลังงานทดแทนตามแผนของกระทรวงพลังงงาน"นายวินิจ กล่าว
นายวินิจ กล่าวว่า บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่ทำไว้กับสถาบันการเงินราว 4 พันล้านบาท และมีกระแสเงินสด 3 พันล้านบาท ปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 0.3 เท่า
ขณะที่ นางพิกุล ศรีศาสตรา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะสรุปการเจรจาซื้อหุ้นในบริษัท NTPC ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการน้ำเทิน 2 ที่เป็นหุ้นในส่วนของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD)ถืออยู่ 15%ในช่วงกลางปี 53 โดยคาดว่าจะต้องแข่งกับผู้ถือหุ้นต่างประเทศที่ต้องการหุ้นในส่วนดังกล่าวดังกล่าวเช่นกัน