บล.ทิสโก้ ระบุตลาดหุ้นปี 53 ภาพไม่สดใสแม้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เพราะรัฐบาลหลายประเทศจะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะลงไปลึกระดับ 550 จุดในช่วง ส.ค.-ก.ย. จากสภาพคล่องทั่วโลกหดหาย เห็นได้จากสัญญาณการทยอยขายของนักลงทุนต่างชาติ มองอีกช่วงตัดสินคดียึดทรัพย์ปลาย ก.พ.เป็นจังหวะเลือกซื้อหุ้นเฉพาะตัวที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ และงบไทยเข้มแข็ง ประเมินดัชนีฟื้นตัวชัดเจนไปสู่จุดสูงสุดในปี 54
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ยังไม่น่าจะใช่โอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก ถึงแม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกเริ่มถอดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจจะส่งผลให้เฮจฟันด์ถอนการลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงออก
สอดคล้องกับการประเมินว่าจะเห็นการขายสุทธิต่างชาติในปีนี้ประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากปีก่อนที่ซื้อสุทธิ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในเดือน ม.ค ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิประมาณ 7.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขายต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 รวมเป็นวงเงินรวม 3 หมื่นล้านบาท
รวมทั้ง แนวโน้มดอกเบี้ยปีนี้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น และจะเห็นการลงทุนในรูปแบบพันธบัตรกับหุ้นไอพีโอของประเทศจีนและ อินเดียที่จะออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น นายวิวัฒน์ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาที่ระดับ 735 จุด ส่วนดัชนีที่ต่ำสุดประเมินว่าจะอยู่ที่ 550 จุดในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย ซึ่งเป็นช่วงหลังตลาดทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะกลับไปจุดสูงสุดอีกครั้งในปี 54 ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้หากขาดทุนไม่เกิน 3 % ให้ตัดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
"ผมว่าการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ได้ถ่วงหุ้นไทยให้ปรับลดลง แต่ที่ลดลงเพราะสภาพคล่องทั่วโลกตอนนี้หายไปทำให้ถอนการลงทุนออกไปก่อนและหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ในช่วงวันที่ 22-26 ก.พ ก็เป็นโอกาสในช้อนหุ้นเก็บได้เพราะหุ้นจะปรับลดลงมากจากกรณีการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯ"นายวิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัว 3.9% ในปี 53 เกิดจากปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อตามรายได้ภาคเกษตรที่สูงขึ้น และนโยบายไทยเข้มแข็งที่จะออกมาช่วยกระตุ้นการบริโภคในกลุ่มรากหญ้ามากขึ้น ขณะที่ดุลการค้าของประเทศยังคงมีแนวโน้มเกิดดุลต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ค่าเงินบาทจึงยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้คาดว่าจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ และทั้งปีคาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 1%(จาก1.25 %ในปัจจุบันเป็น 2.25%) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 3.3% เป็นผลจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและราคาสินค้าเกษตร
สำหรับ หุ้นที่สามารถเลือกลงทุนได้ คือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และหุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ เช่น STEC , SEAFCO , HANA, TASCO เป็นต้น