(เพิ่มเติม) MILL คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 15-20% จาก 8-10% หลังกรีนมิลล์เกิด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 8, 2010 17:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. มิลล์คอนสตรีลอินดัสทรีส์ (MILL)เตรียมนำเม็ดเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนราว 2 พันล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินอีก 1.9 พันล้านบาท รวมทั้งเงินทุนหมุนเวียนบางส่วน ลงทุนในโครงการ Green MILL ซึ่งได้แก่ เตาหลอมอาร์คไฟฟ้า (Electronic Arc Furnace: EAF) และอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตร่วมกับเตาหลอมอาร์คไฟฟ้า

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหลังจากโครงการ Green MILL เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้แล้ว จะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จาก 8-10% เป็น 15-20%

สำหรับรายได้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 7-10% จากปีก่อน ตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยขณะนี้บริษัทมีออร์เดอร์ในมือถึง 1 แสนตัน มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 1/53 ขณะที่บริษัทคาดว่าจะสามารถออก TDR ในตลาดหุ้นไต้หวันราว ไตรมาส 2/53 หลังจากแผนเพิ่มทุนมีความชัดเจนมากขึ้น

นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ MILL กล่าวว่า ถ้าการเพิ่มทุนเป็นไปตามแผนก็คาดว่าจะเริ่มโครงการมิลล์กรีนได้ในเดือนมี.ค.นี้ โดยโครงการนี้มีมูลค่า 2,900 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 18 เดือน แล้วเสร็จในปี 54 จะทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 30% และจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโตขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 15-20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 8-10%

"ถ้าผลิตเหล็กเกรดพิเศษได้มากขึ้น ขายได้ราคาสูงขึ้น มาร์จินก็จะมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ความสามารถในการทำกำไรโตได้อีกเท่าตัว"นายสมศักดิ์ กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทจะซื้อหุ้นเพิ่มใน บริษัท บี อาร์ พี สตีล เพื่อถือหุ้นเพิ่มเป็น 90% กว่า จากปัจจุบันถือ 83% โดยใช้เม็ดเงิน 200 ล้านบาท และการเพิ่มทุนจะรองรับเป็น 2 ส่วนคือเพิ่มทุนให้ PP ที่ตอนนี้มีทั้งพันธมิตรในและต่างประเทศที่สนใจทั้งสถาบันและบุคคล คาดว่าจะไม่เกิน 20 ราย ที่ราคา 10 บาท และอีกส่วนหนึ่งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ แบงค์ DEG บริษัทในเครือ KfW สถาบันการเงินของเยอรมัน

ทั้งนี้ หลังเพิ่มทุนเสร็จสิ้นสัดส่วนการถือหุ้นของ PP จะเป็น 20-30%

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ KFW ถือหุ้นอย่างน้อย 7 ปีนี้ ไม่อยากให้กลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูลขายหุ้นออก คือจะต้องถือหุ้นไม่ต่ำ 25% พันธมิตรที่จะเข้ามาซื้อหุ้นจะช่วยในด้านเทคโนโลยี การขายและการตลาด โดยพันธมิตรรายใหม่เหล่านี้ตอนนี้มีเงินเข้ามาแล้ว 1,000 กว่าล้านบาท นอกจากนี้ยังมีพวกไฮเน็ตเวิร์กอีกหลายรายที่สนใจบางรายก็อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็กด้วย

ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายโต 7-10% มาที่ 1,1000 ล้านบาท ภายใต้ปริมาณขายเหล็กอยู่ที่ 4-5 แสนตัน จากปี 52 มีรายได้ราว 10,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาเหล็กปีนี้เชื่อว่าน่าจะปรับขึ้นเล็กน้อยจากปี 52 เฉลี่ยที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งในช่วงต้นปีนี้อยู่ที่ 550-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน

"นโยบายไม่เก็งกำไรราคาเหล็กแต่สิ่งที่ห่วงคือทำอย่างไรให้สามารถทำกำไรได้ทุกไตรมาส ทุกเดือน อย่างมีเหตุผลมากที่สุด ไม่ว่าเหล็กจะขึ้นหรือลงต้องทำกำไรให้ได้ตามที่ควรจะเป็น ต้องบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม"นายสมศักดิ์ กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีออร์เดอร์ลูกค้าในมือแล้ว 1 แสนตัน มูลค่าราว 2,000 ล้านบาทจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ โดยบริษัทมีสต็อกไม่มากแค่ 1 เดือนครึ่ง หรือประมาณ 6-8 หมื่นตัน แม้ว่าปัจจุบัน ราคาขายสูงกว่าต้นทุนสต็อก แต่นโยบายสต็อกที่สั้นลงเพราะลดความเสี่ยงจากราคาเหล็กที่ผันผวน เพราะเราไม่เน้นเก็งกำไรเน้นขายให้ราคาสูงสุด ต้นทุนเฉลี่ยถูกลง

ส่วนที่จะออก TDR ในตลาดหุ้นไต้หวันนั้นคาดว่าจะเป็นกลางไตรมาส 2/53 หลังประกาศเรื่องเพิ่มทุนเสร็จสิ้นก่อนเพราะหลังจากที่ทิศทางบริษัทชัดมากขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนก็จะมั่นใจมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาขาย


แท็ก (MILL)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ