นส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดในปี 53 เพิ่มขึ้นเป็น 4% จากปี 52 อยู่ในระดับ 2.68% หรืออันดับ 17 เนื่องจากบริษัทได้มีการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ และเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด อีก 150 คน จากปัจจุบันมี 98 คน เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้าที่ปัจจุบันมีอยู่ 1.1 หมื่นบัญชี ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนลงทุน เพิ่มสาขาใหม่ ทั้งในรูปแบบ Full Branch และสาขาย่อย รวม 23 สาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ในปี 53 บริษัทยังมีแผนจะสร้างฐานนักลงทุนรายใหม่มากขึ้น โดยจะเจาะกลุ่มนักลงทุนช่วงอายุ 25-45 ปี ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความสนใจในการลงทุน และเป็นกลุ่มที่มีฐานการเงินและรายได้ที่เหมาะสม โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี จะมีนักลงทุนรายใหม่ จำนวน 1 หมื่นบัญชี
"ตอนนี้อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุน ทุกคนแข่งกันในเค้กก้อนเดิม แต่เราจะหาเค้กก้อนใหม่เพื่อสร้างให้เราแข็งแกร่ง และเป็นเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งใน 3 ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพราะการที่เรามีแบงก์สนับสนุน แค่เรากินเพียง 1% ของฐานบัญชีแบงก์ ก็จะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับเราได้ แม้จะต้องใช้เวลา"กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าว
น.ส. ณัฐรินทร์ กล่าวว่า การรุกตลาดทั้งฐานลูกค้าใหม่ และ การเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาด จะเป็นการรองรับโครงสร้างการเก็บค่าคอมมิชชั่นแบบบันได ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยจะรุกในเรื่องการนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าทั้งใหม่และรายเก่า อีกทั้ง กองทุนต่างประเทศ (FIF) , พันธบัตร รวมถึง อนุพันธ์รูปแบบใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือก และยังเป็นการลดความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนในหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เชื่อว่า รายได้จะเติบโต 100% ในปีนี้ โดยมีรายได้วาณิชธนกิจ(IB) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ตั้งเป้ารายได้ IB เพิ่มขึ้น 5% ใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จาก IB สัดส่วน 25% ของรายได้ทั้งหมด และคาดว่า ดีล M&A ปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อนทีมีมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ดีล IPO ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น คาดว่าปีนี้จะได้เห็น 2-3 ดีล
น.ส. ณัฐรินทร์ กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักและมีวอลุ่มเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 2/53 จากช่วงนี้ที่ภาวะตลาดซึมตัว จากความกังวลปัญหาการเมืองในประเทศ และ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป ทั้งนี้คาดว่าทั้งปีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้กลยุทธ์การตลาดด้วยการไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ธุรกิจโดยรวมเติบโตขึ้น ตามความต้องการของตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศให้ใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบชั้นบันได เพื่อหวังกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าอุตสาหกรรมนี้ ยังเป็นการแย่งลูกค้าอีกด้วย
ในส่วนของบริษัทได้มีการเตรียมการรองรับกาเรข้าสู้ระบบการเก็บค่าคอมมีชั่นแบบเสรีมานานแล้ว แต่ยอมรับว่าคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น( ROE) แต่บริษัทก็จะพยายามทำให้ ROE ไม่ต่ำกว่า 17% ซึ่งการที่บริษัทวางแผนบริหารจัดการในการดำเนินธุรกิจในอนาคต และวอลุ่มการซื้อขายที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จะทำให้รักษาสถานะ ROE ได้