ฟิทช์ คงอันดับเครดิตสกุลเงิน ตปท.ระยะยาว SCIB ที่ BB, ระยะสั้นที่ B

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 12, 2010 12:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ดังต่อไปนี้ อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-term foreign currency Issuer Default Rating (IDR)) ที่ ‘BB’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น (Short-term foreign currency IDR) ที่ ‘B’

ส่วนอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารที่ ‘D’ อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘4’ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำที่ ‘B+’ อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BBB+(tha)’ อันดับเครดิตของธนาคารสะท้อนถึงเครือข่ายการดำเนินงานของธนาคารและคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มองว่าคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารได้ปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้น

SCIB มีกำไรสุทธิ 4.2 พันล้านบาทในปี 52 และอัตรากำไรต่อสินทรัพย์ที่ 1% แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในระดับที่อ่อนแอ และการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารอยู่ในระดับต่ำ โดยในปี 51 SCIB มีกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ธนาคารมีผลการดำเนินงานขาดทุน 2 พันล้านบาทในปี 50 ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง อัตราส่วนต่างกำไรดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อยเป็น 3.3% ในปี 52 จาก 3.4% ในปี 51 เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลง

แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่สภาวะโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแอ และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในธนาคารที่กำลังจะเกิดขึ้น และการปรับโครงสร้างการดำเนินงานจากการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้น อาจส่งผลต่อการขยายสินเชื่อและผลการดำเนินงานของธนาคารในปี 53 นอกจากนั้นธนาคารยังคงมีความเสี่ยงของการตั้งสำรองหนี้สูญที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงตามหลังสภาวะเศรษฐกิจ

คุณภาพสินทรัพย์ของ SCIB อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากก่อนหน้านี้ธนาคารได้มีการขยายสินเชื่อในระดับที่สูงมาก ประกอบกับ สภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2552 โดยธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนักที่ 24.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6% ในงบการการเงินเฉพาะของธนาคาร) ณ สิ้นปี 2552 สำหรับปี 2553 คาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะลดลง เนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้

อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากธนาคารยังคงมีสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษอยู่ในระดับสูง (8.9% ของสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552)

เงินกองทุนของ SCIB อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนรวมของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 14.6% เนื่องจากการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิจำนวน 10 พันล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2552 ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนรวมของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกันธนาคารพาณิชย์อื่น

แนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารอยู่ในระดับ ‘มีเสถียรภาพ’ เนื่องจากอันดับเครดิตของธนาคารนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของผู้ที่จะเข้ามาถือหุ้นใหม่ หรือความสำคัญของ SCIB ต่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยที่อาจสูงขึ้น หากมีการควบรวมกิจการ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ระดับการได้รับการสนับสนุนของ SCIB สูงขึ้น และอาจเป็นผลดีต่ออันดับเครดิตระยะยาวและระยะสั้นของธนาคาร อย่างไรก็ตามคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่ยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแอ ยังคงเป็นปัจจัยที่จะจำกัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร

การขายหุ้น SCIB จำนวน 47.6% ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2553 ซึ่งอาจส่งผลให้มีการทบทวนอันดับเครดิตของธนาคาร โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯเข้าถือหุ้นใหญ่ใน SCIB หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540 และในปี 2545 SCIB ได้ควบรวมกับธนาคารศรีนคร SCIB เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินเชื่อ 4% และด้านเงินฝาก 5% ธนาคารยังมีบริษัทในเครือซึ่งดำเนินธุรกิจประกัน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจจัดการกองทุน และธุรกิจเช่าซื้อ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ