KESTเป้าปี 53ครองอันดับ 1 ทุกธุรกรรม มาร์เก็ตแชร์ค้าหุ้นเพิ่มเป็น12.5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 15, 2010 10:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานกรรมการบริหาร บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) (KEST) เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)อับดับ 1 ในทุกธุรกรรม เพื่อรองรับกับการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ที่ในปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบชั้นบันได ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายของธุรกิจหลักทรัพย์

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 12.5 % จาก 10.68 % ในปี 52 ส่วนมาร์เก็ตแชร์ด้านอินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งตั้งไว้ที่ 15% จาก 13.65% และมาร์เก็ตแชร์ตราสารอนุพันธ์ที่ 12% จาก 10.75% ในปีก่อน

นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทจะเร่งขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เน้นเจาะกลุ่มเฉพาะ เช่น สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ รวมถึง การเจาะตลาดต่างประเทศ เช่น จีน โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าขึ้นอีก 25%จากปัจจุบันที่มีลูกค้าประมาณ 80,000 บัญชี ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ 50% หรือประมาณ 40,000 บัญชี

พร้อมกันนั้น จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาดอีก 10% จากปัจจุบันประมาณ 650 คน และการขยายสาขาใหม่อีก 1-2 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 41 แห่ง ซึ่งเป็นสาขาในกรุงเทพ 23 แห่ง ต่างจังหวัด 17 แห่งและสำนักงาน 1 แห่ง ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าบริษัทเป็นรายย่อยประมาณ 85% สถาบันต่างประเทศ 10-12% และสถาบันในประเทศ 2-5%

ในปี 53 บริษัทจะเน้นการทำธุรกิจเชิงรุกด้วยการให้บริการครอบคลุมในทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านหลักทรัพย์, ตลาดอนุพันธ์, โกลด์ฟิวเจอร์, SET50 INDEX Futures, ธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์(SBL)ที่ได้เปิดบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตแล้ว และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น

ขณะที่การปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์(มาร์จิ้นโลน) คาดว่าจะมีการขอขยายเพิ่มวงเงินจาก ณ 11 ก.พ.ที่มีวงเงินอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ในการปล่อยวงเงินยังคงระมัดระวังความเสี่ยงมากขึ้นและไม่ปล่อยสินเชื่อในหุ้นเก็งกำไร

ด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตเชื่อว่ายังเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทจะเน้นการพัฒนาระบบโปรแกรมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งคาดว่าจะลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่ได้มีการลงทุนประมาณ 7 ล้านบาท

"ที่ผ่านมาเราได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับการใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบชั้นบันได เพราะเรามองว่าการแข่งขันต้องมากขึ้นแน่นอน การวางกลยุทธถือเป็นสิ่งสำคัญ มาร์เก็ตติ้งก็จะต้องดูแลลูกค้าที่มากขึ้น เพราะคอมมิชชั่นแบบขันบันไดทำให้ลูกค้าคิดมากขึ้น เพราะถ้าใช้หลายโบรกค่าใช้จ่ายก็จะมากขึ้น"นายมนตรี กล่าว

ประธานกรรมการบริหาร กล่าวต่อว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้เชื่อว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจ ขณะที่ยังมีปัจจัยหนุนจากภาครัฐในการกระตุ้นการลงทุน โดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็งแทนภาคเอกชนที่ชะลอการลงทุน ขณะที่ค่าพี/อีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับ 11 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยที่ 13 เท่า จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่น่าสนใจลงทุน

KEST ประเมินดัชนีทั้งปีไว้ที่ระดับ 900 จุดได้และปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 18,000-20,000 ล้านบาท แต่เป็นสมมุติฐานภายใต้สถานการณ์โลกที่ไม่เลวร้าย

ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ต่ำกว่า 900 จุด เชื่อว่ารายได้ยังคงมาจากนายหน้าค้าหลักทรัพย์ประมาณ 90% วาณิชธนกิจประมาณ 5-6% ส่วนที่เหลือมาจากดอกเบี้ยและอื่นๆ ซึ่งในส่วนของวาณิชธนกิจจะเน้นงานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 3-4 ราย โดยยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ไปแล้ว 1 ราย มูลค่าระดมทุน 500-10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานที่ปรึกษาในการออกตราสารประเภทต่างๆ

รวมทั้ง การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งในปีนี้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)ที่บริษัทถือหุ้นทั้ง 100% คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ทันภายในปีนี้ 53 โดย บลจ.ดังกล่าวมีนโยบายที่จะลงทุนในหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่

นายมนตรี กล่าวอีกว่า จากนี้ถึงปี 55 ซึ่งเป็นกำหนดเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น การดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์จะต้องประเมินให้รอบคอบ โดยเท่าที่รู้พบว่าโบรกเกอร์กำลังประเมินว่าจะอยู่รอดได้อย่างไรและจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ เพราะเคยมีบทเรียนในปี 40 แล้วและก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก อีกทั้งประเมินว่าการคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0.25% ถือเป็นระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับค่าคอมมิชชั่นที่เรียกเก็บต่างประเทศ

"ตอนนี้สิ่งที่สมาชิกกำลังตกลงกันไม่ได้ตกลงเพื่อฮั้วกัน แต่เป็นการหารือกันเพื่อให้อยู่รอดได้ โดยเฉพาะรายเล็กๆ จะทำอย่างไร และแม้จะเปิดเสรีก็อาจจะทบทวนอีกครั้งว่าเหมาะสมหรือไม่ และเชื่อว่าสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วยในการที่จะทบทวน เพราะถ้าเสรีทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้นอาจเห็นการไปต่างประเทศหรือการปิดกิจการ ดังนั้น การจะปรับเปลี่ยนต้องระมัดระวัง"นายมนตรี กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ