นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอการจ่ายเงินปันผลงวดหลังในอัตราหุ้นละ 1.00 บาทต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 53 โดยแบ่งเป็นส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษี เนื่องจากได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 0.70 บาท และส่วนที่จะถูกหักภาษีเนื่องจากไม่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวจำนวน 0.30 บาท จากการที่บริษัททำกำไรสุทธิทั้งปีออกมาได้อย่างโดดเด่น
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 53 นั้น นายธีรพงศ์เผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 53 คาดว่า น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี บริษัทเองก็ยังคงต้องมีความระมัดระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อม ๆ กับ การมองโอกาสและช่องทางที่จะขยายทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต
ส่วนในเรื่องของปัจจัยเสี่ยงนั้น ค่าเงินบาทยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่บริษัทต้องติดตาม ซึ่งจากที่ผ่านมา บริษัทยังสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างดี ส่วนปัจจัยเรื่องราคาวัตถุดิบปลาก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตามสถานการณ์เช่นเดียวกัน แต่จากการที่บริษัทมีกองเรือของตนเอง ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและทราบข้อมูลที่ชัดเจน จึงทำให้บริษัทสามารถปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าว และเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันภาวการณ์การแข่งขันในตลาดโลกค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นความสามารถในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ในส่วนของกลยุทธ์ด้านการตลาดนั้น บริษัทจะให้ความสำคัญเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์โดยจะมุ่งเน้นไปยังผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มมากขึ้น เน้นการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเรียกว่า “Culinary Development" ซึ่งได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากอเมริกามาดำเนินการ โดยหน่วยงานใหม่นี้จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาสินค้าอาหารของบริษัท ส่วนเรื่องแผนการขยายธุรกิจนั้น ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการสร้างห้องเย็นขนาดความจุ 40,000 ตัน ซึ่งเป็นแผน 2 ปี รวมถึงการเพิ่มกำลังผลิตในส่วนของสินค้าทูน่า กุ้งแช่แข็ง และปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋องก็จะอยู่ในแผน 2 ปีนี้เช่นกัน ซึ่งใช้งบลงทุน 2,000 ล้านบาท
นอกจากนั้นแล้ว การปรับโครงสร้างการบริหารของ 2 บริษัทลูกในสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงกลางปี 52 ซึ่งการควบรวมจะเสร็จในปี 53 ก็จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในเรื่องของกลยุทธ์ทางการตลาดและช่องทางการตลาดที่มากขึ้น โดยการควบรวมนี้ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา
"จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่า บริษัทจะยังมีแรงส่งที่ต่อเนื่องที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทเติบโตไปข้างหน้าต่อไป รวมถึงการมองหาจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างโอกาสของการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต"นายธีรพงศ์ กล่าว