บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ตั้งเป้าปี 53 มียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเติบโต 12% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,014 เหรียญสหรัฐ (ลดลง 3%จากปี 51) เป็นการเติบโตของทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ทูน่า กุ้ง อาหารทะเลแช่แข็ง พร้อมตั้งเป้าภายในปี 55 จะมียอดขายแตะระดับ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ที่ระดับ 14-16%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) คาดว่าในปี 53 กำไรสุทธิจะเติบโตประมาณ 15-20% ลดลงจากปีก่อนเติบโตในอัตรา 52%
"ในปีนี้จะเป็นอีกปีที่เรามียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของกำไรมีโอกาสที่จะโตในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่ายอดขาย แม้จะน้อยกว่าปี 52 ที่โต 52% แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ปีก่อนฐานใหญ่ ฉะนั้นการสร้างการเติบโตของกำไรยากขึ้น"นายธีรพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ การที่บริหารต้นทุนได้ดึขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับเช้าสู่ภาวะปกติ และเชื่อว่าในปีนี้จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นราว 14-16% จากปี 52 ที่อยู่ระดับ 15.1% และปี 51 อยู่ที่ 12.7% อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทยังรักษาอัตราการเติบโตของกำไรได้ เชื่อว่าบริษัทก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลงวดปี 53 มากกว่าปี 52 โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่ 50% ของกำไรสุทธิ
อนึ่ง ปี 52 TUF มีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.79 บาท เพิ่มขึ้น 52% จากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 2,201 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.51 บาท
นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า จากผลกระทบเศรษฐกิจในยุโรป ยอดขายของบริษัทยังเติบโตดีอยู่ โดยเฉพาะสินค้าพร้อมปรุงและสินค้าพร้อมรับประทาน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดยุโรป โดยปัจจุบันรายได้จากตลาดยุโรปมีสัดส่วน 13% แต่ตลาดสหรัฐกัยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัทสัดส่วน 49% ของรายได้
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะลงทุนห้องเย็น ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่อง 2 ปี นอกจากนี้ บริษัทมองหาการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่ บริษัทมีความสามารถที่จะลงทุนได้เต็มที่ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแหล่งเงินจากเงินสดของบริษัท การออกหุ้นกู้ หรือ การกู้เงินจากสถาบัน ปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)ที่ระดับ 0.7 เท่า ขณะที่นโยบายรักษา D/E ไม่เกิน 1 เท่า
"ปีนี้ตั้งเป้า มี ROE ไม่ต่ำกว่า 20% และ ROA ไม่ต่ำกว่า 10% โดยสองเดือนที่ผ่านมายังไม่มึอะไรที่น่าเป็นห่วง ธุรกิจยังไปได้ดี ยอดขายก็ดี ในอเมริกาก็ใช้ได้เลยทีเดียว" นายธีรพงศ์ กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดึ้ขึ้นก็ตาม แต่บริษัทก็ยังต้องระมัดระวัง และติดตามใกล้ชิดเพราะตลาดโลกขณะนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ที่ผ่านมายอดขายของบริษัทในทุกธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่อง โดยในส่วนอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นอีกเรื่องที่บริษัทต้องดูแลพิเศษ โดยหวังว่าค่าเงินบาทจะยืนอยู่ที่กว่า 33 บาท/ดอลลาร์ได้ แต่หากเมื่อไรที่เห็นแข็งค่ามากกว่า 33 บาท/ดอลลาร์ ก็น่าเป็นห่วงสำหรับผุ้ส่งออก
ขณะที่การบริหารวัตถุดิบ บริษัทก็ได้มีการจัดการทั้งการบริหารสินค้าคงคลัง และซัพพลายเชน ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทเป็นรูปดอลลาร์ 89% ส่วนต้นทุนวัตถุดิบเป็นรูปเงินดอลลาร์ 62% ส่วนที่เหลือเป็นรูปเงินบาท จึงทำให้บริษัทสามารถจัดการบริหารได้ไม่ยาก โดยในส่วนวัตถุดิบจะมีการซื้อล่วงหน้า 45-60 วันสอดคล้องกับการขายล่วงหน้าก็จะอยู่ประมาณ 45-60 วันเช่นกัน