บมจ.บ้านปู(BANPU)ระบุว่า เหมือง Jorong หยุดทำการผลิตชั่วคราว เนื่องจากอยู่ระหว่างการยื่นขอต่อใบอนุญาตกับทางการอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้ยังไม่กระทบกับรายได้ของบริษัทมากนัก แต่หากไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปีนี้ก็คงจะหลีกเลี่ยงผลกระทบกับรายได้และกำไรของบริษัทไม่ได้
บริษัทยังคาดว่าในปีนี้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยคงต่ำกว่าปีก่อนที่ได้ราคาเฉลี่ย 72 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะในปีนี้มีถ่านหินคุณภาพต่ำมากขึ้น ขณะที่บริษัทคาดว่าปริมาณถ่านหินอีก 40%ที่จะทำสัญญาขายล่วงหน้า น่าจะได้ราคาสูงกว่าส่วนที่ทำสัญญาไปแล้วในระดับ 60 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า จากการที่เหมือง Jorong หยุดการผลิตไปตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.53 เนื่องจากรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังตีความเรื่องกฎหมายและจะพิจารณาว่าจะต่ออายุใบอนุญาตได้เมื่อใด โดยเหมืองดังกล่าวมีอายุสัมปทานเหลือ 5-7 ปี แต่ประเทศอินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย จึงส่งผลต่อการออกใบอนุญาต ไม่เฉพาะเหมืองของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเหมืองแห่งอื่น ๆ ด้วย ขณะนี้บริษัทก็อยู่ระหว่างหารือกับทางการอินโดนีเซีย
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการผลิตถ่านหินจากเหมือง Jorong ราว 1.9 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 3 ล้านตัน จากการประเมินหากภายในปีนี้เหมืองดังกล่าวยังกลับมาผลิตตามเดิมไม่ได้ ก็จะมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิบ้าง ส่วนในแง่ของรายได้มีผลกระทบราว 5% โดยผลผลิตเหมืองจูร่งคิดเป็น 6-7% ของการผลิตรวม 23 ล้านตัน
"เราไม่รู้ว่าเหมือง Jorong จะเปิดได้เมื่อไหร่ ถ้าหากปีนี้เปิดไม่ได้ ก็คงมีผลต่อ bottom line บ้าง ส่วนรายได้กระทบ 5%"นายชนินท์ กล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทมีการขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้วกว่า 50 % จากปริมาณการผลิต 23 ล้านตัน ที่ราคาเฉลี่ย 60 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าการขายถ่านหินล่วงหน้าในส่วนที่เหลือจะทยอยดำเนินการใน 3 ไตรมาสของปีนี้ แนวโน้มน่าจะได้ราคาสูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้ราคาถ่านหินอยู่ที่ 88-89 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าราคานับจากนี้น่าจะมีเสถียรภาพหรือมีแนวโน้มสูงขึ้นได้ ไม่น่าจะต่ำกว่านี้ เนื่องจากดีมานด์จากจีนและอินเดียยังมีเข้ามา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาถ่านหินเฉลี่ยทั้งปี 53 น่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 72 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากถ่านหินที่มีคุณภาพต่ำเข้ามามากขึ้น ส่งผลให้รายได้ปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายที่จะหาพลังงานทางเลือก โดยตั้งงบลงทุนไว้ราว 2-3% ของการลงทุนในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า