นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ (CMO) กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้ จำนวน 900 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 20% จากปี 52 ที่มีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยการประเมินครั้งนี้ได้รวมความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองแล้ว แต่หากไม่มีปัญหาการเมืองคาดการทำรายได้ของบริษัทน่าจะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมาย
รายได้ของบริษัทในปีนี้เติบโตจากธุรกิจมาร์เก็ตติ้งอีเว้นท์เป็นหลัก โดยไตรมาส 1-2/53 คาดว่าจะมีรายได้เติบถึง 100% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์จะมีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจ cosumer product จะมีการเปิดตัวสินค้ามากขึ้น ส่วนกิจกรรมของงานพิพิธภัณฑ์อาจไม่เติบโต ส่วน culture event ขณะนี้ได้รับงานแล้ว 7 งาน ส่วนใหญ่เป็นโครงการจากภาครัฐ คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ในปีนี้มากขึ้น จากปีก่อนที่ไม่ได้มุ่งธุรกิจนี้
บริษัทยังมุ่งขยายธุรกิจในประเทศแถบอาเซียน โดยเน้นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ซึ่งขณะนี้มีบริษัทให้เช่าอุปกรณ์ ที่เป็นบริษัทลูก ได้เข้าไปบุกตลาดในอาเซียนแล้ว โดยปีนี้มีเป้าหมายพัฒนาเครือข่าย 100 เครือข่าย ซึ่งเดิมบริษัทเคยตั้งบริษัทในกัมพูชา แต่ได้มีการปิดกิจการแล้ว ยังคงเหลือแต่เครือข่ายอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทำให้บริษัทต้องหยุดธุรกิจในกัมพูชา ขณะที่บริษัทจะมุ่งเป้าหมายเครือข่ายใน พม่า ลาว เวียดนาม มากขึ้น
สำหรับปัญหาการเมืองกับธุรกิจอีเว้นท์ มองว่าไม่ว่าในช่วงก่อนหรือหลัง 26 ก.พ.53 ที่เป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์ ไม่มีเรื่องน่ากังวลกับบริษัท เห็นได้ว่าลูกค้าไม่มีการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงาน อีกทั้งคงเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันคงผ่านเหตุการณ์นี้แล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
"ในส่วนของบริษัทและลูกค้า ไม่มีการเลื่อนหรือยกเลิกการจัดงานช่วงก่อนหรือหลัง 26 ก.พ. เพราะไม่ sensitive กับเรื่องนี้ งานที่เตรียมไว้ยังเดินหน้าต่อไป เชื่อว่ารัฐบาลจะคุมสถานการณ์อยู่ ซึ่งรัฐบาลตั้งหน่วยงานต่างๆ เตรียมความพร้อม สร้างความมั่นใจให้นักธุรกิจและเชื่อว่าคนไทยจะไม่ทำร้ายประเทศชาติมากกว่านี้" นายเสริมคุณ กล่าว
นายเสริมคุณ มองภาพรวมอุตสาหกรรมอีเว้นท์ในปี 53 น่าจะเติบโต 10% จากปีก่อนที่หดตัว 5% แต่ต้องรอดูสถานการณ์การเมืองด้วย
นายเสริมคุณ ยังกล่าวยืนยันว่า กลุ่มของตนเองไม่มีแผนขายหุ้นออก หลังมีกระแสข่าวจะถูกเทคโอเวอร์กิจการ โดยขณะนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกลุ่มตระกูลคุณาวงศ์ ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นเดิมที่ 60% ไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นออก โดยขณะนี้มองธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องขายหุ้นออก แม้ก่อนหน้านี้จะมีการขายหุ้นออกไปบ้าง แต่เป็นจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ