นายสงกรานต์ อิสระ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์(CI)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแนวคิดในการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน(Mix Used ) ที่มีทั้งโรงแรม วิลล่า และ การให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพ (Hospitality)ใน 1 โครงการ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาแนวใหม่เนื่องจากเป็นการสร้างความต่างให้กับธุรกิจ และยังเป็นการสร้างมูลค่าให้มากขึ้นนอกเหนือจากการขายบ้านปกติ เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมากขึ้น
เบื้องต้นคาดว่าบริษัทจะนำรูปแบบดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาโครงการ 2 โครงการที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ ในจ.ภูเก็ต อยู่ในแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3.5 พันล้านบาท โดยอีก 1 โครงการจะอยู่ในกรุงเทพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ในย่านบางนาจำนวนกว่า 100 กว่าไร่กว่า หรือจะซื้อที่ดินใหม่
นายสงกรานต์ กล่าวว่า การปรับแนวคิดใหม่ดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มจากปกติ ซึ่งจะทำให้ราคาขายปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% เมื่อเทียบกับราคาขายปกติ โดยโครงการที่พักอาศัยใน อ.ชะอำ จะมีราคาเฉลี่ย 7 ล้านบาท/ยูนิต จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น
ปัจจุบันอัตราการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน และเชื่อว่าจะต่อเนื่องในปีนี้ทั้งลักษณะการเช่า และการซื้อ ดังนั้น ในปีนี้บริษัทก็จะเน้นการพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตและชะอำ ซึ่งยังมีความต้องการค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน โครงการในกรุงเทพก็มีทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ผู้บริโภคกลับมามีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจซื้อบ้าน
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางธุรกิจจะดีขึ้น แต่บริษัทยังคงเป้ารายได้ในปี 53 มีอัตราการเติบโต 5% จากปี 52 ที่มีรายได้ 1.2 พันล้านบาท โดยมียอดขายจากปีก่อนที่รอรับรู้รายได้(backlog)ประมาณ 1.0-1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ฯ จึงไม่น่ากังวล
นายสงกรานต์ กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างรายได้ โดยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 20% ส่วนรายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ลดเหลือ 70% จาก 80% เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยโครงการศรีพันวาส่วนที่เป็นโรงแรมจะทำรายได้เต็มที่ในปีนี้ จากที่เริ่มดำเนินการในปี 52