โบรกเกอร์ประสานเสียงแนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์(TUF)พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้น จากคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 53 เติบโตสูง โดยบางโบรกเกอร์ประเมินอัตราเติบโตสูงถึง 24% จากยอดขายสินค้าหลักทั้ง ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และกุ้งแช่แข็ง คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-12% ตามการขยายกำลังการผลิตและปริมาณการขายที่ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ ราคาขายต่อหน่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของบริษัท อีกทั้งในปีนี้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการปิดโรงงานเหมือนปีที่แล้ว และยังคงมีความพยายามควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน และ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล(divided yield)อยู่ระดับที่ดี 5-7%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.เคจีไอ ซื้อ 45.00 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 44.00 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 42.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 42.00 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 41.50 บล.ทิสโก้ ซื้อ 41.25 บล.ฟิลลิป ซื้อ 40.50
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ได้ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานหุ้น TUF ขึ้น 14% เป็น 42 บาท เหตุผลหลักมาจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 12% และ ระดับราคาขายต่อหน่วยมีทิศทางฟื้นตัวขึ้น จากประเมิน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา และปรับประมาณการกำไรปี 53 เพิ่มขึ้น 24% เป็น 4.1 พันล้านบาท และปีนี้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานเช่นเดียวกับปีที่แล้ว กว่า 500 ล้านบาท
"Valuation หุ้น TUF ถูก P/E อยู่ที่ 7 เท่ากว่า ขณะที่กำไรปีนี้คาดว่าเขาจะเติบโต 24% มี Divided yield 7% และมองว่า ROE ปีนี้ อาจจะสูงสุดในรอบ 7 ปี สถานะการเงินดึขึ้นเป็นลำดับ...หุ้น TUF ยกให้เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มเกษตรอาหาร เราupgrade ราคาพื้นฐาน 14% เพราะเห็นแนวโน้มโตดีกว่าคาด" นายสิทธิเดชกล่าว
ด้านนางสาว นารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) คาดว่า ในปี 53 กำไรของ TUF จะเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่ายอดขายสกุลเงินดอลลาร์จะเพิ่มขึ้น 10% และในปีนี้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจาการปิดโรงงานในปีก่อน จำนวนกว่า 500 ล้านบาท หรือ 16.5 ล้านเหรียญ รวมทั้ง มาร์จิ้นน่าจะดีขึ้น กว่าปีที่แล้ว โดยเพิ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มมากขึ้น
"ตัวนี้ไม่น่าแพง ปัจจุบันเทรดอยู่ P/E 8-9 เท่าเอง และยังมี ปันผลได้ 5-6% และได้สม่ำเสมออยู่แล้ว หุ้นตัวนี้ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจ และตัวบริษัทก็พยายามพัฒนาการดำเนินงานจะเห็น 1-2 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีมากๆ" นางสาวนารี กล่าว
บทวิเคราะห์ จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย ระบุในรายงานว่า จากสถิติพบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น TUF เป็น Laggard เทียบกับหลักทรัพย์อื่นๆ ที่ทำธุรกิจส่งออกอาหาร ตั้งแต่ปลายปี 51 ราคาหุ้น TUF ปรับเพิ่มขึ้น 79% เทียบกับ CFRESH และ SSF ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นแรง 267% และ 368% ตามลำดับ แต่ขณะที่แนวโน้มธุรกิจ TUF นั้นมีความสดใส
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะเติบโต 16% จากปีก่อน เป็น 3.9 พันล้านบาท แรงผลักดันมาจาก 1) อัตรากำไรที่ดีขึ้นจากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและราคาทูน่าก็มีเสถียรภาพ 2) แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้งหมดฟื้นตัวดีขึ้น 3) ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารที่ลดต่ำลง โดยเฉพาะไม่มีค่าใช้จ่ายการย้ายโรงงาน รวมทั้งการประหยัดต้นทุนได้จากการย้ายโรงงานที่ 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 250 ล้านบาท
4) ปริมาณการขายที่เพิ่ม ตามการขยายกำลังการผลิต (10% ในปี 53) และการบริโภคที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 5) แผนการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ทางกลุ่มบริษัทได้พยายามแสวงหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ และขยายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มให้มีมากขึ้น
"เราได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น 14% และราคาพื้นฐานก็ปรับขึ้นตามเป็น 44.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ 10 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ย 5 ปี ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานได้อีก 28% P/E ปี 53 ขณะนี้เป็น 7.9 เท่า เราเห็นว่ายังถูก จึงคงคำแนะนำ ซื้อ" บทวิเคราะห์ระบุ