(เพิ่มเติม) CPF ตั้งเป้าปี 53 ยอดขาย-กำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%,ใช้งบลงทุน 6 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 19, 2010 16:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) ตั้งเป้าปี 53 ยอดขายรวมและกำไรของบริษัทจะเติบโตในทิศทางเดียวกันไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 1.65 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 1.02 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 6 พันล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

"มั่นใจว่ารายได้โตได้ 10% เพราะธุรกิจอาหารและแบรนด์ในประเทศขยายตัวได้ และเราไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคาวัตถุดิบ และคู่แข่งไม่ใช่ประเด็นที่กังวล"นายอดิเรก กล่าว

ในปีนี้บริษัทจะเน้นด้านธุรกิจอาหาร , ธุรกิจกุ้งและปลา หลังจากการกีดกันการค้าระหว่างประเทศในสินค้าเหล่านี้ลดลง โดยปีนี้มีเป้าหมายส่งออกกุ้ง 5.2 หมื่นตันจากปี 52 อยู่ที่ 3.4 หมื่นตัน ถือว่าธุรกิจกุ้งยังคงโดดเด่นในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทได้ทำการบริหารจัดการภายในมีการบริหารต้นทุน บุคลากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

ด้านงบลงทุนในปี 53 จำนวน 6 พันล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในต่างประเทศ 50% และในประเทศ 50% โดยในประเทศนั้น บริษัทยังเน้นการขยายธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ผ่านช่องทางซีพีเฟรชมาร์ทที่มีแผนเพิ่มสาขาเป็น 800-900 สาขา จากปี 52 ที่มี 500 สาขา และ ธุรกิจขายบะหมี่เกี๊ยวไม่ต่ำกว่า 1 พันจุดใน 3 ปีข้างหน้า ธุรกิจขายข้าวมันไก่เป็น 300 จุด จาก ปัจจุบัน 60 จุด ซึ่งในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้มาก ส่วนแบรนด์ไก่ย่าง 5 ดาว จะเปิดเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2-3 พันจุดภายใน 5 ปี

นอกจากนี้ บริษัทยังขยายการลงทุนในต่างประเทศที่ลงทุนในรัสเซียและฟิลิปปินส์ เนื่องจาก รัสเซียเป็นประเทศขนาดใหญ่มีประชากรมาก ขณะที่อินเดียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งน่าจะมีโอกาสเติบโตได้มากเช่นเดียวกัน และ ธุรกิจในตุรกีที่เข้าซื้อไว้ คาดว่า 1-2 เดือนจะสามารถดำเนินการผลิตได้

นายอดิเรก กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าสัดส่วนยอดขายในประเทศจะลดลงเหลือ 63-64% จากปี 52 อยู่ที่ประมาณ 66% ขณะที่รายได้จากการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 22-23% จากปีก่อนอยู่ที 29% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการส่งออก ซึ่งในอนาคตบริษัทจะเน้นการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศ โดยบริษัทจัดตั้งบริษัทย่อยทางตรง 2 แห่งในแทนซาเนียและเคนยา เพื่อรองรับการลงทุน และยังมีอีก 13 บริษัท เป็นบริษัทที่ลงทุนทางอ้อมจัดตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกิจเทรดดิ้ง

"อนาคตจะทำกำไรจากส่งออกและการลงทุนต่างประเทศมากกว่าในประเทศ โดยกำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่าปี 52 ที่ 17-18% จากปี 51 อยู่ที่ 13% เพราะมีแบรนด์ตัวเอง ธุรกิจกุ้งมีการพัฒนา และมีการลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นสำคัญ" นายอดิเรก กล่าว

สำหรับการเตรียมพร้อมด้านการเงินเพื่อใช้ในการลงทุนนั้น นายอดิเรก กล่าวว่า บริษัทมีกระแสเงินสดสูงมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้ และหากกำไรปี 53 ออกมาสูงกว่า 52 ก็เชื่อว่าจะยิ่งทำให้เงินสดในมือสูงขึ้นไปอีก ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสงินสด 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งใช้ลงทุน 4 พันล้านบาท และจายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 5.1 พันล้านบาท

นายอดิเรก เห็๋นว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวรวมถึงไทย เห็นได้จากตัวเลขส่งออกดีขึ้น ท่องเที่ยวก็ดีขึ้น การลงทุนภาครัฐมีมากขึ้น รวมทั้งความเชื่อมั่นการบริโภคสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าการเมืองนิ่งจะส่งผลดีต่อประเทศมากกว่านี้ ส่วนการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบธุรกิจและมองว่าน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ