ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.25% ก็เพราะเล็งเห็นว่าระบบการเงินและเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวแล้ว นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ปรับตัวลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐลดน้อยลงด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดขึ้น 9.45 จุด หรือ 0.1% ปิดที่ 10,402.35 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือน ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.42 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 1,109.17 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 2.16 จุด หรือ 0.1% ปิดที่ 2,243.87 จุด
นักวิเคราะห์จากแอลพีแอล ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ในช่วงเช้านั้นตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.25% เป็น 0.75% โดยอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งกู้ยืมโดยตรงจากเฟด
แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มดีดตัวขึ้นสู่แดนบวกเมื่อนักลงทุนมองว่าการตัดสินใจของเฟดสะท้อนให้เห็นว่าระบบการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยเฉพาะเมื่อดูจากจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขยายตัวในอัตรา 5.7% ต่อปี ซึ่งทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี และข้อมูลที่บ่งชี้ว่าธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐกู้เงินฉุกเฉินโดยตรงจากเฟดน้อยลง
นอกจากนี้ ตลาดได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ทั่วไป เดือนม.ค.เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด 0.2% และดัชนีซีพีไอพื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ลดลง 0.1% ซึ่งปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ