นายธนฑิต เจริญจันทร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ. ไทยคม (THCOM) คาดว่า รายได้รวมของบริษัทในปี 53 จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% และหากอยู่บนสมมติฐานที่ดีที่สุดอ็อาจเติบโตได้ถึง 70-80% หากบริษัทได้งานใหม่ในออสเตรเลียทีขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นประมูล ส่วนในแง่กำไรเชื่อว่าจะได้เห็นตั้งบแต่ไตรมาสแรกของปี และทั้งปีก็จะมีกำไรแน่นอน
ในปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจไอพีสตาร์ในประเทศอินเดียและญี่ปุ่น โดยอินเดียจะเริ่มรับรู้ฯ ตั้งแต่ไตรมาส 2/53 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองระบบและโอนย้ายลูกค้าให้มาใช้บริการ ส่วนที่ญี่ปุ่นคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วง เม.ย. โดยเชื่อว่าลูกค้าญี่ปุ่นจะมีศักยภาพในการสร้างรายได้
ขณะที่ธุรกิจในออสเตรเลีย เป็นตลาดหลักของไอพีสตาร์อยู่แล้ว และบริษัทก็กำลังจะเข้าประมูลอินเตอร์เนตบรอดแบนด์ความเร็วสูง 12 MB.คาดว่าจะสรุปผลการประมูลได้ในไตรมาส 3/53 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอความสามารถในการให้บริการของบริษัทต่อรัฐบาลออสเตรเลีย ทั้งนี้รัฐบาลออสเตรเลียต้องการส่งเสริมการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในกลุ่มประชาชน หากบริษัทประมูลได้จะสร้างรายได้เติมโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้
"ปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิแน่นอน โดยจะเห็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 1 แม้ยังไม่มีรายได้จากอินเดียเข้ามา และหวังว่า EBITDA จะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ที่ไม่น้อยกว่า 30% ด้วย"นายธนฑิต กล่าว
ในส่วนการทำการตลาดในประเทศจีนปี 53 จะมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นหลังจากกระบวนการเปลี่ยนพันธมิตรจากไชน่าแซทเทิลไลท์ มาเป็นไชน่า เทเลคอม ที่ต่างเป็นของรัฐบาลจีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลจีน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/53 นี้
สำหรับการทำการตลาดในประเทศไทยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาให้แบนด์วิดธ์กับบมจ.ทีโอที(TOT) เพิ่มจากปัจจุบันที่ใช้อยู่ 50% ของ capacity ไอพีสตาร์ แต่ TOT มีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้า 3G ที่คาดว่าจะขยายตัวสูง และรองรับการจำหน่ายจานดาวเทียมดีทีวี ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีลูกค้าถึง 1 ล้านราย จากสิ้นปี 52 มีลูกค้าประมาณ 6 แสนราย
นายธนฑิต กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะสร้างดาวเทียมไทยคม 6 ตามสัญญาสัมปทาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีปัญหาการตีความว่าทางการเชื่อว่าสัญญาสัมปทานไม่ได้มีข้อกำหนดให้เช่าดาวเทียมดวงอื่นได้ บริษัทจึงไม่ต้องการมีปัญหากับกระทรวง เชื่อว่า 3-6 เดือนจะได้ความชัดเจน น่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก โดยคาดว่าดาวเทียมดวงใหม่จะเป็นดาวเทียมบรอดแคสต์
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีการสร้างดาวเทียมดวงที่ 6 เพื่อให้ตรงตามสัญญาสัมปทานเนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการตีความอีกจากเดิมบริษัทเคยมีแผนจะเช่าหรือซื้อดาวเทียมดวงอื่นมาชดเชย แต่รายละเอียดการลงทุนที่ชัดเจนต้องให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอีกครั้ง หากศึกษาแล้วเสร็จคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 1-2 ปีจึงจะแล้วเสร็จ เห็นได้จากไอร์พีสตาร์หลังสรุปว่าจะสร้างในปี 40 กว่าจะยิงขึ้นสู่วงโคจรในปี 45 ซึ่งหากสรุปแผนการลงทุนได้หากลงทุนกว่า 100 เหรียญสหรัฐต้องขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย โดยบริษัทมีกระแสเงินสดบางส่วนและอีกส่วนมาจากการกู้เงินจากสถาบันการเงิน
ส่วนการพิจารณาคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.พ.นั้น ขณะนี้บริษัทไม่ได้มีการเตรียมแผนการรองรับ เนื่องจากบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทเกี่ยวข้องกรณีให้รัฐบาลพม่ากู้เงินจากเอ็กซิมแบงก์ เพื่อซื้ออุปกรณ์ไอพีสตาร์ แต่บริษัทเห็นว่าเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล และการซื้ออุปกรณ์ครั้งนั้นมีมูลค่าเพียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น และหากศาลตัดสินมีประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท ก็จะดำเนินการชี้แจงต่อไป