บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)คาดว่า ในปี 53 ค่าการกลั่นของบริษัทจะอยู่ในระดับ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ค่าการตลาดอยู่ที่ประมาณ 1.50-1.60 บาท/ลิตร
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP คาดว่า ปี 53 กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ที่ประมาณ 5-6 พันล้านบาท ลดลงจากปี 52 ที่มี EBITDA 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าดีที่สุดนับจากบริษัทตั้งมา เนื่องจากในปีนี้ค่าการกลั่นลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 12 เหรียญ/บาร์เรล โดยปีนี้คงจะไม่มีกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน(hedging)ที่ก่อนมีกำไรประมาณ 5 พันกว่าล้านบาท หรือ 5.2 เหรียญ/บาร์เรล และมีกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 3 พันล้านบาท
"EBITDA ปีนี้ลดลง เพราะค่าการกลั่นลดลง ตอนแรกเราคาดว่าปีนี้จะมีค่าการกลั่นประมาณ 4-5 เหรียญ/บาร์เรล แต่ตอนนี้ค่าการกลั่นขึ้นมา 5.50 เหรียญ/บาร์เรล ก็คิดว่าน่าจะมีค่าการกลั่นได้ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล ฉะนั้น EBITDA น่าจะได้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท"นายอนุสรณ์ กล่าว
ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มการกลั่น 9.0-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน จากปีก่อนมีกำลังการกลั่น 7.92 หมื่นบาร์เรล/วัน และปีนี้ไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุง โดยคาดว่าราคาน้ำมัน(WTI)ในไตรมาส 1/53 จะอยู่ใช่วง 70-80 เหรียญ/บาร์เรล จากปีก่อนมีราคาเฉลี่ย 62 เหรียญ/บาร์เรล โดยปัจจัยกระทบราคาน้ำมันได้แก่ เศรษฐกิจในยุโรป โดยเฉพาะ กรีซ โปรตุเกส
อย่างไรก็ตาม มองงว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะสูงกว่า 80 เหรียญ/บาร์เรล เพราะโรงกลั่นบางแห่งในสหรัฐและอินโดนีเซียหยุดการผลิต โดยคาดว่าระยะสั้นราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวสูงขึ้น และราคาดีเซลดีขึ้นจากปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณสำรองดีเซลลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายปลีกในประเทศด้วย
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้นก็จะกดดันให้ค่าการตลาดต่ำกว่า 1 บาท/ลิตร ถ้าคืนนี้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น ก็คาดว่าบริษัทก็คงต้องปรับขึ้นราคา เพื่อรักษาระดับค่าการตลาดไว้ในระดับ 1.50-1.60 บาท/ลิตร
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้ยอดขายปลีกน้ำมันจะเติบโต 5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 315 ล้านลิตร/เดือน และในปี 52 ค่าการตลาดอยู่ที่เฉลี่ย 1.50 บาท/ลิตร โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 14.6% ขึ้นมาเป็นอันดับ 3
*ยกเลิกผลิตขายเบนซิน 91 ใน 3 ปี นำ E20 ทดแทน
นายอนุสรรณ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะยกเลิกการผลิตและขายน้ำมันเบนซิน 91 ภายใน 3 ปี โดยจะนำแกสโซฮอลล์ E20 มาขายแทน เพราะปัจจุบันรถรุ่นใหม่สามารถเติม E20 ได้ โดยเฉลี่ยคาดว่ามีรถใหม่ราว 80% ของทั้งหมด หรือประมาณ 2 แสนคันที่สามารถเติม E20 ได้ ดังนั้น ภายในปีนี้บริษัทจะเพิ่มสถานีบริการน้ำมันที่ขาย E20 เป็น 300 แห่ง จาก 160 แห่ง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีค่าการตลาดเพิ่มขึ้นอีก 0.10-0.20 บาท/ลิตร ขณะที่ E85 ยังมีการใช้ค่อนข้างน้อยจึงเปิดเพียง 5 สถานีเท่านั้น
"เราสนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาด เราจะยกเลิก เบนซิน 91 ตั้งเป้าไว้ 3 ปีเริ่มตั้งแต่ปีนี้ บางจากไม่รอนโยบายภาครัฐ"นายอนุสรณ์ กล่าว
อนึ่ง ในเดือน ม.ค.53 บริษัทมียอดขาย E20 อยู่ที่ 5 ล้านลิตร/เดือน เพิ่มจากปีก่อนที่ขายได้เฉลี่ย 2.5 ล้านลิตร/เดือน ส่วนเบนซิน 91 มียอดขาย 15 ล้านลิตร/เดือน ลดลงจากปีก่อนที่มียอดขายเฉลี่ย 18 ล้านลิตร/เดือน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนร่วมทุนผู้ผลิตเอทานอล ขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 3 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยบริษัทต้องการถือหุ้นเกิน 25% ใช้เงินลงทุนราว 1.5 พันล้านบาทสำหรับร่วมทุนและขยายโรงงานเพิ่ม ตั้งเป้าผลิต 2 แสนลิตร/วัน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมจะส่งออกเอทานอล ถือว่าได้เปรียบผู้ผลิตเอทานอลรายอื่น
"โครงการเอทานอลคุยไว้หลายโรงงาน เราจะคุยกับรายที่มีโรงงานอยู่แล้ว ถ้าหากบางจากฯ เข้าไปเป็น Player เราได้เปรียบเรื่องการส่งออก ถ้าเราร่วมทุนได้ เรามั่นใจเรื่องตลาด แต่ตอนนี้คุยกันเรื่องราคาหุ้น ก็กำลังดีลกันอยู่ 3 ราย"นายอนุสรณ์ กล่าว
บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ราว 5 พันล้านบาท โดยโครงการยูโร 4 จะใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท และโครงการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 30 เมกะวัตต์ ลงทุนประมาณ 3.2 พันล้นบาท ซึ่งจะขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
ส่วนการลงทุนเฟสต่อไป บริษัทก็จะยังเน้นพลังงานสะอาด โดยคาดว่าจะลงทนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 50 เมกะวัตต์ อีก 1-2 แห่ง และกำลังศึกษาความเป็นไปได้และหาพันธมิตรเพื่อผลิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินจากสาหร่าย เป็นพลังงานสะอาด โดยการลงทุนเฟสนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5-6 พันล้านบาท
"อนาคตธุรกิจใหม่น่าจะ contribute EBITDA 30% จากการลงทุนพลังงานสะอาด 5-6 พันล้านบาท"นายอนุสรณ์ กล่าว