โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH)แม้มีปัญหายังเดินเครื่องแครกเกอร์ใหม่ 1 ล้านตันไม่เต็มที่หลังจากโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ติดปัญหามาบตาพุดทำให้ไม่สามารถป้อนวัตถุดิบให้ได้ตามแผนงานที่วางไว้ แต่อย่างน้อยก็มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการหาแหล่งวัตถุดิบอื่นมาป้อนให้ชั่วคราวไปก่อนเพื่อให้สามารถเดินเครื่องได้บ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่าในที่สุดปัญหาก็จะคลี่คลายลงด้วยดี และกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยผลักดันกำไรสุทธิในปี 53 แตะระดับหมื่นล้าน ขณะที่สเปรดทุกผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูง
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 120.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อลงทุน 99.00 บล.บัวหลวง ซื้อ 100.00 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 91.00 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 80.00
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ แนะ"ซื้อ"หุ้น PTTCH คาดยังมีกำไรดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 1/53 เมื่อเทียบ QoQ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 3.3 พันล้านบาทจากไตรมาส 4/52 ที่มีกำไรสุทธิ 2.2 พันล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)ทุกชนิด อาทิ MEG และ HDPE ยังอยู่ในระดับสูงและยังดีต่อเนื่อง จากความต้องการของประเทศจีนยังสูง
ประกอบกับ PTTCH ไม่ได้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งมองกันว่าครึ่งปีหลังโรงกลั่นอาจจะไม่ดี ทรีนิตี้ จึงให้น้ำหนักการลงทุนและเป้าหมายราคาหุ้น PTTCH ค่อนข้างสูง
สำหรับผลประกอบการปี 53 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปี 54 แม้ว่าโครงการแครกเกอร์ 1 ล้านตันจะล่าช้าไป 6-8 เดือน อย่างช้าน่าจะทันในไตรมาส 4/53 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะได้เห็นในช่วง เม.ย.นี้หากการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลเป็นผลสำเร็จ แต่เบื้องต้นขณะนี้ได้มีการบริหารจัดการหาวัตถุดิบมาเดินเครื่องได้บางส่วนแล้ว เชื่อว่าปัญหาจะแก้ไขได้ และจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อผลประกอบการยังดีต่อเนื่อง
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน ประเมินปัญหาโรงแครกเกอร์ 1 ล้านตันล่าช้าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยจะสามารถเดินเครื่องได้ 60% ของกำลังการผลิต ด้วยการนำวัตถุดิบจากส่วนอื่นมาป้อนให้แทนโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ของ PTT ที่ยังติดปัญหาจากกรณีมาบตาพุด
ทั้งนี้ ในปี 53 คาดว่า PTTCH จะมีกำไรสุทธิ 9.98 พันล้านบาท เติบโตจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 6.8 พันล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 1/53 จะดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนอย่างชัดเจน เนื่องจากปีที่แล้วไตรมาส 1/52 มีผลขาดทุน แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวลงไปบ้าง แต่สเปรดยังอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะราคาขาย HDPE เทียบกับราคาแนฟทาในไตรมาส 1/53 อยู่ที่ระดับ 570 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/52 และเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52
แต่อย่างไรก็ตาม ยังกังวลหากซัพพลายในตลาดโลกมีปริมาณมากขึ้น ราคาขายผลิตภัณฑ์อาจจะปรับตัวลดลงได้ แต่ยังเชื่อว่าอย่างไรราคาก็ยังดีกว่าปีก่อน และหากกรณีมาบตาพุดคลี่คลายได้เร็ว และ PTT สามารถเดินเครื่องโรงแยกก๊าซฯ แห่งที่ 6 ได้ จะยิ่งทำให้ PTTCH มี Upside เพิ่มขึ้น ซึ่งเราอาจจะมีการทบทวนประมาณการปี 53 และราคาที่เหมาะสมใหม่
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า แนวโน้มสเปรดและราคาปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ต้นไตรมาส 1/53 จนถึงปัจจุบัน จากอุปสงค์สูงตามปัจจัยฤดูกาล การปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์หลายแห่งโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า และอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำสำหรับโรงงานใหม่ในตะวันออกกลาง
เราคาดว่าปริมาณขายในไตรมาส 1/53 ของ PTTCH จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ เนื่องจากการเริ่มดำเนินงานของโรงงาน LLDPE (ขนาด 400 KTA) ในเดือนธ.ค.52 (แม้ว่าจะวางแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงาน l1 ในไตรมาสนี้ก็ตาม) ดังนั้นเราคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรแข็งแกร่งในไตรมาส 1/53 ทั้ง YoY และ QoQ
ทั้งนี้ บล.บัวหลวง ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ของ PTTCH ไว้ที่ 10,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% YoY เนื่องจากการเริ่มดำเนินงานของ PTTPE และโรงงานผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ รวมถึงแนวโน้มส่วนต่างปิโตรเคมีดีขึ้น
ด้าน บล.กรุงศรีอยุธยา ปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ"จากเดิม"ถือ" โดยมองว่าหากการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดมีความชัดเจนและโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 เปิดดำเนินงานได้เร็วกว่าคาดก็จะเป็นเหตุผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิและมูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ยังประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เท่ากับ 10,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% YoY
ส่วนบทวิเคราะห์สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/53 คาดฟื้นตัวตามสเปรดปิโตรเคมี โดยคาดผลประกอบการทั้งปี 53 มีการเติบโตสูงจากกำลังการผลิตของ Olefin Cracker ใหม่ ซึ่งคาดจะเริ่มได้ในไตรมาส 1/53
แม้ยังคงมีประเด็นมาบตาพุดที่ทำให้ขาดวัตถุดิบจากโรงแยกก๊าซ 6 แต่วัตถุดิบส่วนเพิ่มจากการทำ Revamp ของโรงแยกก๊าซ 2 และ 3 ของ PTT ร่วมกับการจัดสรรวัตถุดิบบางส่วนจากโรงโอเลฟินส์เดิม(ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบโรงเดิมไปใช้ Naphtha หรือ LPG มากขึ้นจะทำให้โรง Olefin Cracker ใหม่ ยังคงสามารถใช้กำลังการผลิตได้ในระดับ 60%-70%
นอกจากนี้ บนสมมติฐานโรงแยกก๊าซ 6 ยังไม่สามารถดำเนินการได้คาด PTTCH ยังคงมีการเติบโตสูงได้มากกว่า 30%yoy และหากโรงแยกก๊าซ 6 ดำเนินการได้เร็วขึ้นจะเป็น Upside ในการปรับประมาณการ