น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนปรับราคาขายบ้านขึ้นอีก 3-5 % หลังจากรัฐบาลไม่ต่อมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ โดยเชื่อว่าผู้ประกอบการรายอื่นจะขึ้นราคาขายบ้านเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องติดตามเรื่องราคาน้ำมันเพราะจะมีผลต่อราคาต้นทุนถึงแม้ปัจจุบันราคาน้ำมันจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
ทั้งนี้ในปี 53 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้พรวม 4,749 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างงานคงค้างในมือกว่า 2 พันล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ซึ่งมูลค่างงานคงค้างดังกล่าวถือเป็นการรองรับรายได้ส่วนหนึ่งในปีนี้ โดยยอมรับว่า 2 เดือนแรกของปีนี้ทำยอดขายได้เพียง 650 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ 900 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจและความคลุมเครือในด้านภาษีอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลังจากการมีการประกาศไม่ต่อภาษีอสังหาริมทรัพย์แล้วการตัดสินใจของผู้บริโภคจะเร็วขึ้นและเข้ามาดูโครงการมากขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายเดือนมี.ค. และชดเชยยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกได้บ้าง นอกจากนี้ยังมีสต็อกอีก 120 ยูนิต มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ที่คาดว่าสามารถโอนได้ก่อนสิ้นสุดมาตรการภาษีด้วย
"ที่ผ่านมา มียอดการเข้ามาชมโครงการเพิ่มขึ้นและมีการตัดสินใจเร็วขึ้น ส่วนคดียึดทรัพย์อดีตนายกทักษิณไม่มีผลกระทบต่อบริษัทและลูกค้า ส่วนผลจะออกเป็นอย่างไรโดยส่วนตัวหวังได้ข้อเท็จจริงความยุติธรรม และคงไม่ไปที่ศาลคงติดตามข่าวที่ออฟฟิศ"นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าว
ด้านนายอรรถพล สฤษฏิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน SC กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นรวมให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 39% และอัตราหนี้สินต่อทุน ( D/E ) อยู่ที่ 0.8 เท่า ซึ่งในปีนี้จะมีการลงทุนไม่มาก และยังไม่เห็นการออกหุ้นกู้ในระยะสั้นนี้เพราะยังมีกระแสเงินสดที่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนคงจะเห็นการสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ ที่บริษัทได้มีการซื้อที่ดินจำนวน 4 ไร่ ใกล้โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด รัชดา-รามอินทราคาดใช้เงินลงทุน 30-40 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปิดได้ปลายไตรมาส 3 ปีนี้ นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาออฟฟิศให้เช่าคงจะไม่เห็นในปีนี้เพราะจากเศรษฐิจที่หดตัว 2 ปีที่ผ่านมา ดีมานด์ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันออฟฟิศให้เช่ายังเพียงพอโดยมีอัตราการเช่า 97-98% และถือว่าสอดคล้องกับเป้าหมายบริษัทซึ่งจะมีรายได้หลักจากการพัฒนาโครงการ 80% และที่เหลือเป็นออฟฟิศให้เช่า
สำหรับปี 53 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หม่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ และที่เหลือจะเป็นแนวสูงซึ่งต้นปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ คือ แกรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด รัชดา-รามอินทรา ซึ่ง มีมูลค่า 720 ล้านบาท และโครงการโครงการ โฮม ออฟฟิศ เพลส เพชรเกษม 81 มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาทซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดีซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกค้าพึงพอใจในการพัฒนาโครงการและการดำเนิธุรกิจ ดังนั้นเชื่อว่าเป้าที่ตั้งไว้ไม่น่าจะเกินความสามารถ
"กำไรของบริษัทปีนี้ยังน่าจะดีแม้ว่าจะไม่มีการต่อภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพราะเรายังมีความสามารถในการสร้างกำไรและจากบทพิสูจน์จากงวดปี 52 ที่เราจ่ายปันผล 0.90บาทต่อหุ้น ที่คาดว่าจ่ายปันผล 18 พ.ค." นายอรรถพล กล่าว