นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายกลยุทธและพัฒนาธุรกิจ บมจ.การบินไทย (THAI) คาดว่ารายได้ปี 53 เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน เนื่องจากในปีนี้บริษัทได้เพิ่มปริมาณที่นั่งและความถี่ของเที่ยวบิน (Production) เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งส่วนใหญ่เน้นเส้นทางในต่างประเทศ และตั้งเป้าหมายมีอัตราขนส่งบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ที่เฉลี่ย 74-75% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเส้นทางในประเทศจะไม่มีผลขาดทุนอีก หลังจากที่บริษัทได้ร่วมมือกับสายการบินนกแอร์ ทำการบินร่วม (Code share) ใน 3 เส้นทาง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค.53
"ในปีนี้บริษัททำการเพิ่มความถี่เที่ยวบินและปริมาณที่นั่ง (Production)เพิ่มขึ้น 10% ส่วนใหญ่เราจะขยายในเส้นทางระหว่างประเทศ จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 20%..ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Cabin factor ขึ้นมาดีมากอยู่ที่ 82% แต่ทั้งปีเราตั้ง target เฉลี่ยไว้ 74-75% เราเน้นเส้นทางต่างประเทศ ส่วนตลาดรองบบางสายให้นกแอร์ทำการบิน"นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ THAI กล่าว
ส่วนเส้นทางในประเทศ เชื่อว่าปีนี้ไม่ประสบผลขาดทุนแล้ว เนื่องจากบริษัทได้ร่วมมือกับสายการบินนกแอร์สำหรับเส้นทางในประเทศ 3 เส้นทางได้แก่ เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน, ดอนเมือง-พิษณุโลก และ ดอนเมือง-อุบลราชธานี เป็นเส้นทางไป-กลับ บินสัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.53 เป็นต้นไป โดย 3 เส้นทางดังกล่าวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผลขาดทุนเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท
"เราให้นกแอร์บินแทน 3 เส้นทาง ทำให้เราหันไปวางกลยุทธ์ในการต่อสู้ในระดับเส้นทางระหว่างประเทศ และเส้นทางในประเทศที่เคยขาดทุน เราก็ไม่ต้องรับภาระขาดทุนอีก ก็ช่วยทำให้ผลกำไรดีขึ้น" นายโชคชัย กล่าว
ส่วนเส้นทางไป-กลับ สุวรรณภูมิ-อุบลราชธานีนั้น การบินไทยจะทำการบินเองสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน เพราะสายการบินนกแอร์ไม่มีเครื่องบินรองรับเพียงพอ ทั้งนี้จะทำให้บริษัททำการบินในเส้นทางระหว่างประเทศเหลือ 10 เส้นทาง
นายโชคชัย กล่าวว่า การบินไทยยังได้ให้สายการบินนกแอร์ เช่าเครื่องบินเพิ่ม อีก 3 ลำ เป็น เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 (120 ที่นั่ง)จำนวน 1 ลำ และ เครื่องบิน ATR 2 ลำ จากปัจจุบันที่ให้เช่าเครื่องบนิ 737-400 จำนวน 3 ลำ รวมเป็นสายการบินนกแอร์เช่าเครื่องบินจากการบินไทยทั้งหมด 6 ลำ นอกนั้นสายการบินนกแอร์ เช่าเองอีก 2 ลำ รวมนกแอร์มีเครื่องบินรองรับทำการบินไว้ทั้งหมด 8 ลำ